Fast Retailing บริษัทแม่ของ UNIQLO เตรียมลงทุนนำเทคโนโลยี RFID Tag ช่วยโรงงานบริหารกระบวนการผลิตสินค้าแบบเรียลไทม์ พร้อมวิเคราะห์สินค้าตัวไหนควรเพิ่มหรือลดการผลิต หวังแก้ปัญหาสต็อกล้น
“ปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคมีความหลากหลายมาก และในแต่ละปี UNIQLO มีการผลิตเสื้อผ้าหลากหลายคอลเล็กชันมากกว่า 1 พันล้านชิ้น เราไม่รู้เลยว่าคอลเล็กชันไหนจะตอบโจทย์ผู้บริโภคได้มากที่สุด” ทาคาฮิโระ ทัมบาระ ผู้อำนวยการฝ่ายข้อมูลของ Fast Retailing บริษัทแม่ของ UNIQLO กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- UNIQLO เปิดรับชาวต่างชาติมาทำงานตำแหน่งผู้บริหาร พร้อมรับนักศึกษาจบใหม่ เงินเดือนสตาร์ท 1,900 ดอลลาร์ หรือ 70,735 บาทต่อเดือน
- ทำรายได้เติบโตในอเมริกา-ยุโรปคือเป้าหมายใหญ่ของ GU แบรนด์น้อง UNIQLO ที่มั่นใจคุณภาพสินค้า-ราคาถูก ดึงวัยรุ่นเข้าร้าน
- ระบบ Self-Checkout หรือการชำระเงินด้วยตนเองของ Uniqlo ทำให้ผู้ที่ไม่ชอบเทคโนโลยีนี้หันมาชอบได้ เพราะลดเวลารอจ่ายเงินที่บางครั้งนานโดยใช่เหตุ!
บริษัทจึงต้องลงทุนติดตั้งเทคโนโลยี RFID Tag เข้ามาเสริมกระบวนการผลิต โดยเทคโนโลยีดังกล่าวจะทำให้เห็นสถานะสินค้า เทรนด์สินค้าไหนควรเพิ่มหรือลดการผลิตลง ซึ่งจะสามารถบริหารจัดการสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเทคโนโลยีดังกล่าวจะถูกติดตั้งในโรงงานของซัพพลายเออร์ในจีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียใต้ ที่มีกว่า 421 แห่ง
ทั้งนี้ หากย้อนไปในปี 2017 บริษัทนำ RFID Tag ในรูปแบบของชิปขนาดเล็กมาติดอยู่บนฉลากผลิตภัณฑ์ ทำงานโดยตัวรับสัญญาณที่สามารถระบุข้อมูลหมายเลขและวันที่ผลิต ขนาด และสีของเสื้อผ้าได้อย่างแม่นยำ
ที่สำคัญ RFID Tag ยังเพิ่มความสะดวกในการชำระเงินผ่านเคาน์เตอร์ Self-Checkout ให้ลูกค้าชำระเงินด้วยตัวเอง เพียงวางเสื้อผ้าที่ซื้อบนพื้นที่ที่กำหนด ระบบก็จะคำนวณราคาทั้งหมดโดยไม่ต้องรอให้พนักงานสแกนบาร์โค้ดทีละตัว
เรียกได้ว่ากลยุทธ์ดังกล่าวมาถูกทาง เพราะนับตั้งแต่นำ RFID Tag มาใช้ พบว่าลูกค้าประหยัดเวลาในการชำระเงินลงกว่า 50% เพราะไม่เสียเวลาต่อแถวรอชำระเงินเป็นเวลานาน
เบื้องต้น RFID Tag มีใช้แค่ในบางประเทศเท่านั้น แต่บริษัทกำลังพยายามจะปรับใช้ในทุกสาขาทั่วโลก
อ้างอิง: