นับเป็นความพยายามของแบรนด์ GU แบรนด์น้องของ UNIQLO ที่อยากเติบโตนอกบ้านเกิด เดินหน้าเปิดร้านป๊อปอัพสโตร์บุกตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรป มั่นใจคุณภาพสินค้า-ราคาถูก จะดึงลูกค้าวัยรุ่นเข้าร้าน พร้อมช่วยดันยอดขายเติบโตถึง 6.6 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี
สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า Fast Retailing ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของทั้ง UNIQLO และ GU ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นทำตลาดในเอเชีย ได้วางแผนเป้าหมายต่อจากนี้ต้องการขยายการเติบโตไปในตลาดค้าปลีกใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ ด้วยการขยายสาขาภายใต้แบรนด์ GU ไปเจาะตลาดอเมริกาและยุโรป โดยหวังเจาะกลุ่มวัยรุ่นเป็นหลัก และบริษัทตั้งเป้าถึงการขยายตลาดจะช่วยผลักดันยอดขายราว 6.6 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ซีอีโอ GU ย้ำ จากนี้จะเริ่มขยายร้านไปเจาะตลาดใหม่ โดยเฉพาะนิวยอร์กที่เตรียมเปิดป๊อปอัพสโตร์ขนาดใหญ่ หวังให้แบรนด์เป็นที่รู้จักทั่วโลก
- GU แบรนด์น้องสาวของ Uniqlo จะทะยานออกนอกเอเชีย ด้วยการบุกไปเปิดป๊อปอัพสโตร์ที่ย่านโซโหของนิวยอร์ก เมืองศูนย์กลางแฟชั่นโลก
- ‘เบสิก เรียบง่าย น่าเบื่อ’ แต่ทำไม Uniqlo ถึงครองบัลลังก์โลกแฟชั่นได้สำเร็จ?
“ปัจจุบันแบรนด์ GU มีอัตราการเติบโตในญี่ปุ่นอย่างมาก เห็นได้จากการทำกำไรเพิ่มขึ้น 2 เท่าต่อปี แต่จุดอ่อนของแบรนด์คือยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในประเทศอื่นมากนัก แต่จากนี้เรามั่นใจว่าแบรนด์ GU จะประสบความสำเร็จในตลาดยุโรปแน่นอน ด้วยที่มาของตัวอักษรระหว่าง G และ U ซึ่งออกเสียงเหมือนกับคำว่า Jiyu ในภาษาญี่ปุ่น ซึ่งมีความหมายว่าเสรีภาพ บวกกับจุดแข็งของสินค้าแบรนด์ GU มีราคาถูกกว่าแบรนด์ UNIQLO แต่ก็มีศักยภาพเช่นเดียวกัน” Takeshi Okazaki ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน Fast Retailing กล่าว
แต่การทำตลาดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะกระบวนการผลิต บริษัทพยายามพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายในแต่ละประเทศที่แตกต่างกันออกไป แต่ยังคงคอนเซปต์เดิมที่มีสินค้าทั้งผู้ชายและผู้หญิง มีราคาเข้าถึงง่าย โดยหากย้อนไปในปี 2022 แบรนด์ GU ได้ทดลองตลาดด้วยการเปิดร้านป๊อปอัพสโตร์แห่งแรกในนิวยอร์กไปแล้ว พบว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยลูกค้าส่วนใหญ่อายุประมาณ 10-30 ปี
ขณะเดียวกัน Fast Retailing ยังเตรียมเปิดร้าน UNIQLO เพิ่มอีก 20 สาขาในอเมริกาเหนือ และ 10 สาขาในยุโรป เพื่อเพิ่มรายได้และกำไร ซึ่งปัจจุบัน UNIQLO มีส่วนแบ่งการตลาดเพียง 0.5% ในอเมริกาและยุโรป จึงมีโอกาสขยายการเติบโตได้อีกมาก
เรียกได้ว่าเป็นการพยายามขยายตลาดนอกญี่ปุ่นอย่างจริงจัง เพราะตลาดญี่ปุ่นเริ่มชะลอตัวจากจำนวนประชากรและกำลังซื้อที่ลดลง แน่นอนว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นที่พอใจของนักลงทุนอย่างมาก
เช่นเดียวกับตลาดจีน ปัจจุบัน UNIQLO มีประมาณ 900 สาขา แม้เศรษฐกิจในจีนยังอยู่ในภาวะที่ยากลำบาก บริษัทก็ยังต้องทำตลาดเหมือนเดิม แต่บริษัทจะไม่ลงทุนเปิดร้านเพิ่ม แต่จะไปเน้นลงทุนที่คุณภาพของสินค้าแทน
ด้านฝั่งของคู่แข่งแบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นอย่าง H&M ตามด้วย ZARA และ Gap ก็เริ่มขยายตลาดไปยังอเมริกาและยุโรปเช่นกัน เรียกได้ว่าการแข่งขันในตลาดแฟชั่นจะยิ่งดุเดือดมากขึ้น
อ้างอิง: