ในปี 2030 โลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้ง ด้วยการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของหลายเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน รวมทั้งเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial Intelligence (AI)
จากงาน ‘THE WISDOM: Wealth Decoded – Tech Trend Talk’ ซึ่งเป็น Exclusive Investment Talk ที่จัดขึ้นสำหรับลูกค้าเดอะวิสดอมกสิกรไทย โดยครั้งนี้ได้ กระทิง-เรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) มาร่วมแบ่งปันข้อมูล
กระทิงเล่าว่า ขณะนี้คือปี 2024-2025 เรากำลังอยู่ในช่วงเวลา ‘หักศอก’ ของโลก ซึ่งเป็นจุดที่เทคโนโลยีพัฒนาอย่างก้าวกระโดดและเริ่มนำมาใช้ได้ในชีวิตจริง และจุดหักศอกครั้งที่ 2 น่าจะเกิดขึ้นในปี 2030-2035 ผ่านสิ่งที่เรียกว่า Technological Convergence หรือการบรรจบกันของหลายๆ เทคโนโลยี ซึ่งจะเป็นเทคโนโลยีที่เพิ่มขีดความสามารถขึ้นไปอีกแบบทวีคูณ
“และถ้าถามว่าโลกในวันนั้นจะเปลี่ยนไปอย่างไร คงจะไม่มีใครเดาได้ถูกต้อง”
แล้ว AI ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องส่งผลต่อธุรกิจอย่างไร?
กระทิงเล่าต่อว่า ตอนนี้มีสิ่งที่เรียกว่า Solo Winner หรือการที่คนหนึ่งคนสามารถสร้างธุรกิจที่มียอดขาย 1 ล้านดอลลาร์ได้ด้วยตัวคนเดียว โดยอาศัยเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยเพิ่ม Productivity
ขณะที่ แซม อัลต์แมน ซีอีโอของ OpenAI เคยบอกไว้ว่า ในอนาคตคนเพียงคนเดียวจะสามารถสร้างธุรกิจที่เติบโตจนกลายเป็น ‘ยูนิคอร์น’ หรือธุรกิจที่มีมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ได้สำเร็จ
แต่สิ่งสำคัญคือ เราจะต้องนำ AI มาใช้ให้ถูกวิธี หากนำ AI มาใช้ให้ถูก Use Case ก็จะช่วยเพิ่ม Productivity ได้มหาศาล แต่ถ้านำมาใช้ไม่ถูก Use Case ก็ทำให้ Productivity แย่ลงได้
นอกจากนั้นการนำ AI มาปรับใช้กับธุรกิจยังจำเป็นจะต้องมีมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการคัดเลือกข้อมูลที่เป็นประโยชน์และเหมาะสมกับปัญหาที่เราต้องการจะแก้ไข
ทั้งนี้ กระทิงแนะนำเคล็ดลับ 2 ข้อสำหรับทุกธุรกิจที่ต้องการจะเติบโตต่อไปในอนาคต
- ‘Always bring AI on the table’ คือทดลองใช้ AI ในทุกๆ ขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างธุรกิจขึ้นมาใหม่หรือพัฒนาธุรกิจเดิม เราควรระดมความคิดร่วมกับ AI
- ‘Human in the loop’ ต้องเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้าน AI อยู่เสมอ รู้ให้เท่าทัน AI และต้องคอยตรวจสอบข้อมูลจาก AI อย่าเชื่อทั้งหมด เพราะบางทีก็วิเคราะห์ข้อมูลไม่ถูกต้องทั้งหมด
“ในระยะสั้นการนำ AI เข้ามาช่วยในองค์กรอาจจะยังไม่เห็นผลที่ชัดเจน แต่มีงานวิจัยบอกว่า ในปี 2024 จะเป็นปีที่เริ่มเห็นผลลัพธ์ในระดับบุคคล ก่อนที่ปี 2025-2026 จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ในระดับทีม และกว่าจะเห็นผลลัพธ์ในระดับองค์กรอาจต้องรอถึงปี 2029-2030”
กระทิงกล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้มนุษย์สามารถเอาชนะ AI ได้คือ การมี Human Empathy หรือความสามารถในการเข้าใจและรับรู้ความรู้สึก ความคิด รวมทั้งประสบการณ์ของผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง
และเพื่อตอบสนองเมกะเทรนด์ของเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้น นักลงทุนสามารถเลือกกองทุนที่มีโอกาสได้รับปัจจัยบวกจากเทรนด์นี้ ซึ่งมี 2 กองทุนที่น่าสนใจแนะนำโดย K WEALTH* ได้แก่
- กองทุน K-GHEALTH ลงทุนในกองทุนหลัก JPMorgan Funds – Global Healthcare Fund – Class A (acc) USD ซึ่งปัจจุบัน บลจ.กสิกรไทย ได้ผนึกกำลังกับ J.P. Morgan Asset Management เป็นพันธมิตรในการบริหารกองทุน โดยกองทุน K-GHEALTH มีนโยบายการลงทุน เน้นหุ้นเติบโตสูง เช่น หุ้นในกลุ่ม BioTech และ MedTech และเน้นหุ้นปัจจัยพื้นฐานราคาผันแปรตามเศรษฐกิจโลกน้อย
- กองทุน K-GTECH ลงทุนหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำทั่วโลก เน้นหุ้นเติบโตสูง ผ่านกองทุนหลัก Threadneedle (Lux) Global Technology, Class IU USD ซึ่งกองทุน K-GTECH มีโอกาสเติบโตจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้
-
- อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อเริ่มเข้าสู่ช่วงปลายวัฏจักร เป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นเทคโนโลยี
- เทคโนโลยียังคงเป็นปัจจัยหลักในการเติบโตของเศรษฐกิจ เช่น เทคโนโลยี 5G, รถยนต์ EV และเทคโนโลยี AI ฯลฯ
- บริษัทเทคโนโลยีเร่งคุมต้นทุนในช่วงที่ผ่านมา ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้มีความแข็งแกร่งในระยะยาว
หมายเหตุ: *ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน