วันนี้ (23 เมษายน) ที่ทำเนียบรัฐบาล จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงความคืบหน้าโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ตที่จัดเตรียมส่งให้กฤษฎีกาตีความว่า นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีต้องการความมั่นใจ พร้อมยืนยันว่าไม่กังวลหากกฤษฎีกาได้ตีความอย่างไร เพราะรัฐบาลพิจารณาจากกรอบกฎหมายอย่างชัดเจน รวมถึงอยู่ในอำนาจหน้าที่ โดยขอให้มั่นใจได้แม้จะมีการส่งให้กฤษฎีกาตีความ ประชาชนก็ยังสามารถใช้โครงการดิจิทัลวอลเล็ตในช่วงไตรมาส 4 ได้
จุลพันธ์กล่าวต่อว่า ตนเองได้ชี้แจงต่อสหภาพการเงินทั้ง 4 ใน 3 ประเด็นว่า โครงการดิจิทัลวอลเล็ตเป็นกลไกตามกฎหมายและระเบียบอำนาจหน้าที่ตามข้อบังคับ ขณะเดียวกัน เสถียรภาพของ ธ.ก.ส. จะต้องแข็งแกร่งขึ้น รัฐบาลถือหุ้น ธ.ก.ส. 100% รัฐบาลมีแต่จะทำให้แนวนโยบายเพิ่มความแข็งแกร่ง โดยไม่มีทางปล่อยให้กลไกดังกล่าวนี้สั่นไหวได้
จุลพันธ์กล่าวต่อว่า สิ่งสำคัญที่สุดรัฐบาลทราบดีว่าสิ่งนี้เป็นจะเป็นการช่วยเกษตรกร รัฐบาลมีความจำเป็นต้องใช้มาตรการตามมาตรา 28 ซึ่งที่ผ่านมาทุกรัฐบาลได้ดำเนินการมาโดยตลอด เนื่องจากเป็นหนึ่งในกลไกที่จะเอื้อมมือไปหาเกษตรกรโดยตรงโดยไม่ขัดต่อข้อตกลงระหว่างประเทศในหลายกรณี และเป็นกลไกที่มีความคล่องตัวมาก พร้อมยืนยันว่าจะไม่กระทบต่อสวัสดิการของพนักงาน ธ.ก.ส.
จุลพันธ์ยังชี้แจงอีกว่า การใช้งบประมาณของ ธ.ก.ส. ในการดำเนินโครงการดิจิทัลเป็นกลไกทางงบประมาณของรัฐบาล เป็นมาตรการกึ่งการคลังที่ไม่ใช่การกู้เงิน การที่ระบุว่ารัฐบาลกู้เงิน ธ.ก.ส. นั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจผิด รัฐบาลไม่สามารถกู้เงิน ธ.ก.ส. ได้
เมื่อถามว่า เหตุใดจึงไม่ให้เกษตรกรหักเงินไปใช้หนี้ในโครงการดังกล่าวนี้เลย จุลพันธ์กล่าวว่า ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ตนเองยืนยันมาตั้งแต่ต้นว่ากลไกนี้เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งการคืนให้กับ ธ.ก.ส. เลยนั้นหมายความว่าเงินที่กลับมายังรัฐไม่ได้เกิดการหมุนเวียนต่อระบบเศรษฐกิจ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงการแก้ปัญหาระบบบล็อกเชนจะเข้ากับระบบของภาครัฐที่ไม่เอื้อต่อการทำธุรกรรมการเงินอย่างไร จุลพันธ์กล่าวว่า ภาครัฐอยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งมีการพูดคุยกันมาสักระยะแล้ว รัฐบาลคาดหวังว่าแอปพลิเคชันดังกล่าวจะเป็นอีกแอปที่จะสามารถอัปเกรดให้เป็นซูเปอร์แอปได้ ซึ่งทางกระทรวงดีอีเอสได้พัฒนาระบบทรานสิชันและระบบอื่นๆ ที่จะเชื่อมโยงความเป็นรัฐทั้งหมดเข้ามาอยู่ในแอปเดียว รวมถึงสร้างแอปให้สามารถเป็นจุดเชื่อมแอปของธนาคารต่างๆ เข้าสู่โครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต โดยใช้ธนาคารของตน ไม่ว่าจะอยู่ธนาคารใด เงิน 10,000 บาทจากดิจิทัลวอลเล็ตจะไปอยู่ในธนาคารของตนเลย โดยไม่จำเป็นต้องดำเนินการเหมือนในอดีต
จุลพันธ์กล่าวต่อว่า การดำเนินการพัฒนาแอปครั้งนี้ใช้งบประมาณไม่มาก โดยงบประมาณที่ดำเนินการอยู่แล้ว ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยืนยันว่าจะสามารถพัฒนาแอปดังกล่าวได้ทันอย่างแน่นอน ส่วนที่ภาคเอกชนเสนอให้ใช้แอปที่มีอยู่แล้ว เช่น แอปเป๋าตังนั้น ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่รัฐบาลต้องพิจารณาโดยที่ยังไม่ได้ตัดออกจากระบบ
นายกฯ เรียก 4 แบงก์ใหญ่ ขอช่วยปรับลดดอกเบี้ย
ทั้งนี้ เมื่อเวลา 08.30 น. ที่ผ่านมา เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เรียก 4 ธนาคารเข้าพบบนตึกไทยคู่ฟ้า ประกอบด้วย ขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย, ผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย, ชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ และอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ โดยใช้เวลาหารือประมาณ 30 นาที
นายกฯ เปิดเผยหลังการหารือ 4 ธนาคารว่า เมื่อเช้าตนได้เชิญ 4 ธนาคารใหญ่เข้ามาพูดคุยกันเรื่องปัญหาเศรษฐกิจทั่วๆ ไป รวมถึงพูดคุยกันเรื่องความแข็งแกร่งมากของสถาบันการเงินจากผลประกอบการที่ออกมา ซึ่งตนได้เรียนให้ทุกท่านทราบว่า ประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเปราะบาง โดยให้แต่ละคนไปพิจารณากันเองว่ากลุ่มเปราะบางคืออะไร เป็นกลุ่ม SMEs หรือรายย่อย มีปัญหาเรื่องดอกเบี้ยสูง ซึ่งตนได้ขอร้องและพูดคุยกันแบบคนที่รู้จักกันมา เพราะทุกคนรู้จักกันมา 10-20 ปีทั้งนั้นตั้งแต่อยู่ในวงการมา ก็ขอร้องทั้ง 4 ท่านว่าขอให้มาพิจารณาเรื่องดอกเบี้ยบ้าง ซึ่งท่านก็รับปากว่าเดี๋ยวจะไปพูดคุยกัน
นายกฯ กล่าวว่า เป็นการพูดคุยกันกับทั้ง 4 คน ไม่ได้มีอะไร ก็อย่างที่บอกว่ารัฐบาลเราเห็นความเดือดร้อนของประชาชนในปัญหาเรื่องดอกเบี้ย จึงเชิญมาเมื่อช่วงเช้า ซึ่งจะเชิญมาตั้งแต่ช่วงสุดสัปดาห์แล้ว พอดีได้คิวพร้อมกันจึงอยากจะคุยพร้อมกันให้มีความเสมอภาคเท่าเทียม เพราะมันไม่ใช่เรื่องการแข่งขันทางด้านธุรกิจหรือมาชิงดีชิงเด่น ใครลดมากลดน้อยมันไม่ใช่ ตนอยากให้ทุกท่านเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และลองดูว่าเราสามารถช่วยเหลือกันได้มากน้อยขนาดไหนอย่างไร ซึ่งทุกท่านคงจะพูดคุยกันและมีอะไรออกมา
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ภายหลังการพูดคุยได้กำหนดระยะเวลาว่าจะต้องมาให้คำตอบเมื่อไร นายกฯ กล่าวว่า ไม่มีครับ เรื่องนี้เป็นการให้เกียรติกัน และเป็นคนที่อยู่ในวงการเดียวกันมาเกือบ 20 ปี รู้จักกันมาดี ตนว่ามองตากันก็รู้ใจว่าเราต้องการอะไรซึ่งกันและกัน ทำได้แค่ไหนก็คงแค่นั้น ตนคงไม่ไปกดดันอะไร ตนว่าต้องให้เกียรติทั้ง 4 ท่านด้วย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า แนวโน้มการพูดคุยน่าจะค่อนข้างดีใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ก็ดีครับ บรรยากาศเป็นไปได้ด้วยดี พูดคุยกันดี ก็เดี๋ยวคอยนิดหนึ่งแล้วกัน ขอให้ท่านไปพิจารณาทั้งระบบว่าควรจะต้องทำอย่างไร โดยเน้นไปที่กลุ่มเปราะบางที่ต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งหากถึงเวลาเหมาะสมตนก็จะเรียกท่านมาพูดคุย