ไม่พลิกโผ! ประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร ผู้สมัครจากพรรคสังคมนิยม PSUV ชนะการเลือกตั้งทั่วไป ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำเวเนซุเอลาเป็นสมัยที่ 2 กวาดคะแนนเสียงไปกว่า 67.7% ทิ้งห่างผู้สมัครคนอื่นๆ ขาดลอย แต่อย่างไรก็ตาม มีผู้ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งครั้งนี้เพียง 46.1% เท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ผ่านมา เมื่อปี 2013 เกือบเท่าตัว (79.68%)
แม้นายมาดูโรจะเผชิญหน้ากับกระแสต่อต้านและความท้าทายในการบริหารประเทศอย่างหนัก แต่ผลการเลือกตั้งที่ถูกวางแผนและออกแบบมาอย่างดีนี้จะช่วยเพิ่มความชอบธรรมในตัวของมาดูโรไม่มากก็น้อย เขาผลักดันให้เกิดการเลือกตั้งใหม่เร็วขึ้น จากกำหนดเดิมที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนธันวาคมปีนี้ ซึ่งเขามองว่ายังเป็นช่วงที่ยังพอจะกอบโกยคะแนนเสียงได้ โดยได้รับเสียงสนับสนุนจากสภารัฐธรรมนูญแห่งชาติที่ส่วนใหญ่เป็นคนที่ภักดีต่อเขา
นอกจากนี้นายมาดูโรยังใช้โอกาสที่เกิดขึ้นจากความแตกแยกและระส่ำระสายในพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งผู้สมัครคนสำคัญอีก 2 คนที่คาดว่าจะเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อของเขาถูกประกาศแบนห้ามลงเลือกตั้งชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีในครั้งนี้ เหลือเพียงนายเฮนรี ฟัลคอน ผู้สมัครจากพรรคฝ่ายค้านที่เคยสังกัดพรรคสังคมนิยมเดียวกันกับนายมาดูโรมาก่อน ซึ่งอาจเรียกได้ว่านายมาดูโรนอนมาตั้งแต่การเลือกตั้งยังไม่ประกาศผลเสียอีก
สหรัฐอเมริกา รวมถึงประเทศต่างๆ ใน EU ที่ต่างเฝ้าจับตามองการเลือกตั้งในเวเนซุเอลามาโดยตลอดเผยว่า พวกเขาเป็นห่วงเรื่องความโปร่งใสในการเลือกตั้งครั้งนี้ พร้อมขู่จะไม่รับรองผลการเลือกตั้งดังกล่าว และอาจหามาตรการคว่ำบาตรต่อเวเนซูเอลา หากรัฐบาลของนายมาดูโรจงใจทำลายประชาธิปไตยในประเทศ
สถานการณ์ในเวเนซุเอลาภายใต้การบริหารงานของนายมาดูโรเป็นอย่างไรในช่วงหลายปีที่ผ่านมา?
เรียกได้ว่าเป็นวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ของประเทศ ภายหลังจากที่นายอูโก ชาเบซ ประธานาธิบดีคนก่อนหน้าถึงแก่อนิจกรรมลง นายมาดูโรเผชิญแรงกดดันอย่างหนัก ทั้งเรื่องความสามารถในการบริหารประเทศ ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน อุปถัมภ์พวกพ้อง รวมถึงการใช้กำลังเข้าปราบปรามประชาชนผู้เห็นต่างอย่างหนัก มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 100 คนในปี 2017 ที่ผ่านมาจากเหตุปะทะกัน
อัตราการว่างงานสูงขึ้นแตะ 30% อัตราเงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่ง IMF คาดการณ์ว่าสถานการณ์เงินเฟ้อในเวเนซุเอลาจะวิกฤตขึ้น ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคจะเพิ่มสูงขึ้นกว่า 13,000% ภายในปีนี้
นับตั้งแต่ปี 1999 เป็นต้นมา มีชาวเวเนซุเอลาเกือบ 2 ล้านคนอพยพเดินทางออกนอกประเทศเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ โดยศูนย์พักพิงผู้อพยพในสหรัฐฯ เผยว่า ในปี 2017 ที่ผ่านมามีชาวเวเนซุเอลากรอกใบสมัครขอเดินทางเข้าพักที่ศูนย์กว่า 14,525 คน นับตั้งแต่ 1 ตุลาคม ซึ่งมีจำนวนมากกว่าชาวจีน เม็กซิโก กัวเตมาลา และเอลซัลวาดอร์
นายมาดูโรจะใช้แนวคิด Anti-American ควบคุมชาวเวเนซุเอลา สร้างความหวาดกลัวและเกลียดชังต่อชาวอเมริกัน เพื่อผลโยชน์ทางการเมืองและการอยู่ในอำนาจของตนต่อไป เพราะเขารู้ดีว่าแนวคิดต่อต้านจักรวรรดินิยมหรือการครอบงำของประเทศมหาอำนาจนี้ยังคงใช้ได้ผลเป็นอย่างดีสำหรับคนในประเทศนี้ รวมถึงประเทศอื่นๆ ในลาตินอเมริกา
อ้างอิง:
