นับตั้งแต่ต้นปีหากนักลงทุนท่านใดก็ตามที่นำเงินไปลงทุนไว้ใน Bitcoin ด้วยกลยุทธ์ ‘Buy and Hold’ หรือ ‘การซื้อแล้วถือเฉยๆ’ มาจนถึงปัจจุบันก็จะสามารถทำกำไรไปได้แล้วราว 50% ซึ่งถือว่าเป็นผลตอบแทนที่น่าพอใจ
แต่ในโลกการลงทุนแบบเฮดจ์ฟันด์และงานวิจัยหลายชิ้นอย่างจากมหาวิทยาลัยโมนาชและเคมบริดจ์ เป็นต้น ต่างชี้ว่ามีกลยุทธ์การลงทุนแบบอื่นที่ดีกว่าการ Buy and Hold เพียงอย่างเดียวอยู่พอสมควร และยังสามารถทำกำไรจากช่วงที่ราคาปรับฐานรุนแรง
นักลงทุนสามารถทำกำไรจากขาขึ้นของคริปโตได้อย่างน่าพอใจ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเผชิญกับโดนการปรับฐานจากขาลงของตลาด
โดยผู้บริหารเฮดจ์ฟันด์ Man Group ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ณ สิ้นปี 2023 แตะ 1.67 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 5.85 ล้านล้านบาท) เผยว่า การลงทุนด้วยวิธี ‘Trend Following’ หรือ ‘การซื้อและถือตามเทรนด์’ เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพกับสินทรัพย์อย่าง Bitcoin ค่อนข้างมาก
นับแต่ปลายปี 2016 จนถึงปัจจุบัน กลยุทธ์การซื้อและถือ Bitcoin ให้ผลตอบแทนราว 163% ขณะที่การใช้กลยุทธ์ Trend Following ทั้งกับขาขึ้นและขาลงของ Bitcoin และ Ether ให้ผลตอบแทนราว 200-260%
ซึ่งกองทุนอย่าง Florin Court Capital ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ (ราว 7 หมื่นล้านบาท) ได้นำกลยุทธ์ Trend Following มาใช้ตั้งแต่ช่วงปี 2017 กับสินทรัพย์ประเภทคริปโต
โดย Doug Greenig ผู้ก่อตั้งกองทุน Florin Court Capital ก็กล่าวว่า คริปโตมีความคล้ายคลึงกับสินค้าโภคภัณฑ์ นักลงทุนต้องการเพียงแค่โมเดลสำหรับการลงทุนตามเทรนด์และการควบคุมความเสี่ยงที่ดี
ซึ่งสามารถคุมความเสี่ยงได้โดยการเลือกแพลตฟอร์มสำหรับการเทรดที่น่าเชื่อถือและมีใบอนุญาตก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนจะขยายไปถึงกลยุทธ์ที่เลือกใช้ในการลงทุน
Tarek Abou Zeid หุ้นส่วนและผู้จัดการกองทุน Man AHL กล่าวว่า การลงทุนแบบ Trend Following อยู่ที่การขจัดอคติในใจออกไปให้หมด แล้วมองหาความบ้าคลั่ง การกลัวตกกระแส และการตื่นตระหนก เพื่อให้คุณสามารถใช้กลยุทธ์ดังกล่าวได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ซึ่งกองทุน AQR Capital Management เฮดจ์ฟันด์ที่มีความเชี่ยวชาญในสินทรัพย์ประเภทพิเศษและมีการลงทุนใน Bitcoin และ Ethereum ด้วยกลยุทธ์ Trend Following ตั้งแต่ปี 2017 ก็สามารถเร่งผลตอบแทนของกองทุนได้อย่างน่าพอใจนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน
และล่าสุดก็มีการออกกองทุน ETF ที่ชื่อ Global X Bitcoin Trend Strategy (Ticker: BTRN) ที่เพิ่งเปิดตัวในช่วงเดือนที่ผ่านมา ที่จะมีการสับเปลี่ยนไปมาระหว่าง Bitcoin Futures และตราสารหนี้
หากช่วงไหนราคา Bitcoin พุ่งสูงขึ้นก็จะมีการทยอยขาย Bitcoin แล้วแปลงเป็นตราสารหนี้ และหากช่วงไหน Bitcoin ปรับตัวลงก็จะทยอยขายตราสารหนี้ไปซื้อ Bitcoin แทน
แต่ถึงกลยุทธ์การลงทุนแบบ Trend Following จะได้ผลดีกับ Bitcoin และ Ethereum แค่ไหน แต่การไปใช้กับเหรียญคริปโตประเภทอื่นอย่าง Memecoin และ Altcoins อื่นๆ ก็ต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง
อ้างอิง: