‘เทคโนโลยีสภาพภูมิอากาศ’ หรือ Climate Tech กำลังเป็นหนึ่งในโซลูชันการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ประชาคมโลกให้ความสนใจ เพราะความพยายามในการลดอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั่วโลกในปัจจุบันยังถือว่าช้าเกินไป ทั้งนี้ รายงาน ‘Net Zero Economy Index’ ของ PwC สหราชอาณาจักร ระบุว่า ในปี 2565 โลกบรรลุอัตราการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonisation Rate) เพียง 2.5% ซึ่งหมายความว่า ขณะนี้อัตราการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่ 17.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี ถือเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อจำกัดภาวะโลกร้อนให้สูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนยุคอุตสาหกรรมที่ 1.5 องศาเซลเซียส หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ต้องลดการปล่อยคาร์บอนให้เร็วกว่าปัจจุบันถึง 7 เท่า
การลงทุนด้านเทคโนโลยีสภาพภูมิอากาศลดลงในปี 2566
ถึงแม้ว่าความต้องการเทคโนโลยีสภาพภูมิอากาศจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่บรรยากาศของการลงทุนในบริษัท Climate Tech ในช่วงที่ผ่านมากลับไม่สดใสนัก เนื่องจากปัจจัยความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ การประเมินมูลค่าที่ตกต่ำ รวมถึงอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น โดย รายงานอีกหนึ่งฉบับของ PwC สหราชอาณาจักร ภายใต้ชื่อ ‘State of Climate Tech 2023’ ระบุว่า การลงทุนในหุ้นของบริษัทสตาร์ทอัพได้ลดลงเป็นปีที่ 2 โดยในปี 2566 การร่วมลงทุนและการลงทุนในหุ้นภาคเอกชนลดลง 50.2% แตะที่ 6.38 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินทุนสำหรับสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีสภาพภูมิอากาศกลับมาอยู่ในระดับเดียวกับเมื่อ 5 ปีก่อน การลดลงดังกล่าวยังเกิดขึ้นพร้อมกับความต้องการวิธีการใหม่ๆ ในการบรรเทา วัดผล และปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กลายเป็นเรื่องเร่งด่วนมากขึ้น
ทั้งนี้ รายงานของ PwC ฉบับนี้ยังได้ระบุถึงสถานะและแนวโน้มของการลงทุนในเทคโนโลยีสภาพภูมิอากาศในด้านอื่นๆ ไว้อีกหลากหลายประเด็น ดังนี้
ระดับของการลงทุนใน Climate Tech ที่แตกต่างกันทั่วโลก
ทั้งนี้ การลงทุนใน Climate Tech ทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงที่ผ่านมา โดยตลาดอเมริกาเหนือนำโดยสหรัฐอเมริกา ถือเป็นภูมิภาคที่เห็นความแปรปรวนของการลงทุนในเทคโนโลยีด้านสภาพภูมิอากาศมากกว่าภูมิภาคอื่นๆ ซึ่งในปีนี้ รายงานของ PwC ฉบับดังกล่าว ชี้ว่า การลงทุนในอเมริกาเหนือยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนักลงทุนเริ่มมองหาโอกาสจากภาคส่วนใหม่ๆ โดยพบว่า ในขณะที่ทุกภูมิภาคได้เห็นการลงทุนมากขึ้นในเทคโนโลยีด้านสภาพภูมิอากาศที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน การเปลี่ยนแปลงในสาธารณรัฐประชาชนจีนที่เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับพลังงานเพิ่มขึ้นจากเพียงไม่ถึง 2% ของการลงทุนในสตาร์ทอัพในปี 2561 เป็น 22.2% ในปี 2566
วิธีที่นักลงทุนด้านเทคโนโลยีสภาพภูมิอากาศเข้าถึงตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า แม้ว่าปริมาณการลงทุนด้านเทคโนโลยีสภาพภูมิอากาศลดลง แต่ Climate Tech ก็ยังคงดึงดูดนักลงทุนอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ การลงทุนด้านเทคโนโลยีสภาพภูมิอากาศจะเกิดความคุ้มค่าสำหรับบริษัทที่ใช้วิจารณญาณและมีระเบียบวินัยที่ดี โดยรายงานยังได้แนะนำ 3 แนวคิดสำหรับนักลงทุนเกี่ยวกับวิธีการเข้าถึงตลาด Climate Tech VC ในปัจจุบัน ได้แก่
- คิดนอกกระแส – แม้นโยบายต่างๆ จะกระตุ้นให้ธุรกิจต่างๆ ตอบสนองต่อการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ดีขึ้น แต่สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีสภาพภูมิอากาศยังคงต้องมีพื้นฐานที่ดีด้วย โดยหากไม่สามารถสร้างรายได้และขยายธุรกิจก็จะไม่ส่งผลใดๆ โดยนักลงทุนมุ่งเน้นไปที่พื้นฐานของบริษัทที่ดี มีธุรกิจที่แข็งแกร่ง ซึ่งสามารถทำกำไรได้
- มองสวนทางกับวัฏจักร – การลงทุนที่ลดลงเป็นโอกาสของนักลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำหรับนักลงทุนคือ ในภาวะที่ขาดแคลนเงินทุนร่วมลงทุน อาจทำให้ข้อตกลงเกิดความยุ่งยากและซับซ้อนได้ ซึ่งนักลงทุนอาจมีโน้มน้าวให้บริษัทเป้าหมายปรับความคาดหวังให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่และสิ่งที่ตลาดมีอยู่จริง
- วางแผนเพื่อการเติบโต – การสร้างบริษัทเทคโนโลยีด้านสภาพภูมิอากาศที่ดีนั้นต้องใช้เงินทุนในการเติบโต ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพในการค้นหาแหล่งเงินทุนที่เป็นไปได้ทั้งหมดร่วมด้วย เช่น โครงการสินเชื่อ เงินกู้ของรัฐบาล และมาตรการจูงใจต่างๆ นอกเหนือจากผู้ลงทุนร่วมลงทุนเริ่มแรก
อ้างอิง:
- State of Climate Tech 2023: How can the world reverse the fall in climate tech investment?, PwC
- Net Zero Economy Index 2023, PwC