บรรยากาศตลาดหุ้นทั่วโลกหลังเปิดทำการวันแรกต้อนรับปี 2024 เมื่อวันอังคารที่ 2 มกราคม ไม่คึกคักสดใสสักเท่าใดนัก แม้ว่าจะปิดตลาดส่งท้ายปี 2023 ในทางบวกมากแค่ไหนก็ตาม โดยรายงานระบุว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทของสหรัฐฯ ปิดลบ เหตุนักลงทุนส่วนใหญ่เทขายทำกำไรจากการดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงปลายปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ดัชนี S&P 500 ร่วงลง 0.6% ปิดตลาดที่ 4,742.83 จุด ขณะที่ ดัชนี Nasdaq Composite ร่วงลง 1.63 % ปิดตลาดที่ 14,765.94 ส่วนดัชนีอุตสาหกรรม Dow Jones ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 0.07% ปิดตลาดที่ 37,715.04 จุด โดยส่วนหนึ่งที่ดัชนีอุตสาหกรรม Dow Jones ยังปิดบวก โดยมีหุ้นแนวรับอย่าง Johnson & Johnson และ Merck ที่ปรับตัวขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า Dow Jones Industrial Average ปิดในแดนบวกส่วนหนึ่งได้อานิสงส์จากการที่นักลงทุนส่วนใหญ่ยังรอดูรายงานการจ้างงานของสหรัฐฯ ประจำเดือนธันวาคม ที่จะมีกำหนดเผยแพร่ในวันศุกร์ที่ 5 มกราคมนี้ เพื่อหาสัญญาณว่าตลาดแรงงานยังคงเย็นลงอย่างต่อเนื่อง
สำหรับหุ้นที่ร่วงลงหนักสุดเมื่อวานนี้ (2 มกราคม) คือหุ้นของ Apple ค่ายผู้ผลิตสมาร์ทโฟนชั้นนำ โดยหุ้นของ Apple ร่วงลงกว่า 3.6% อันเป็นผลจากการที่ Barclays หั่นอันดับความน่าลงทุนของบริษัทสู่ระดับ Underweight พร้อมกับปรับลดเป้าหมายราคาหุ้นสู่ระดับ 160 ดอลลาร์ จากเดิมที่ระดับ 161 ดอลลาร์ หลังพบว่ายอดขาย iPhone 15 อยู่ในภาวะซบเซาในขณะนี้ โดยเฉพาะในจีน ซึ่งจะบ่งชี้ถึงความอ่อนแอของยอดขาย iPhone 16 ซึ่งเป็น iPhone รุ่นถัดไป
การร่วงของหุ้น Apple ส่งผลให้หุ้นกระดานเทคโนโลยีและตลาดหุ้นโดยรวมของสหรัฐฯ ร่วงลงตามไปด้วย
ด้านบรรยากาศตลาดหุ้นทั่วโลกต่างก็เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นวอลล์สตรีท โดยดัชนี STOXX Europe 600 ของตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวร่วงลง 0.1% เมื่อวันอังคารที่ 2 มกราคมที่ผ่านมา หลังจากปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงเปิดตลาด
ขณะที่บรรยากาศตลาดหุ้นเอเชียค่อนข้างผสมผสาน โดยดัชนี Hang Seng ของฮ่องกงร่วงลง 1.5% ส่วนดัชนี Shanghai Composite ของจีนแผ่นดินใหญ่ร่วงลง 0.4% สืบเนื่องจากข้อมูลภาคการผลิตที่อ่อนแอ ขณะที่ตลาดหุ้นเกาหลีใต้กับตลาดหุ้นออสเตรเลียกลับปิดตลาดปรับตัวขึ้นในแดนบวก
นักวิเคราะห์มองว่าตลาดหุ้นที่ปรับตัวลงมาจากแรงเทขายทำกำไรของนักลงทุน โดยมีนักลงทุนส่วนหนึ่งที่รอเทขายในช่วงปีใหม่ด้วยเหตุผลทางภาษี
ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นสอดคล้องกับผลการสำรวจ Market Strategist Survey ของสำนักข่าว CNBC ที่บรรดานักวิเคราะห์คาดว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะให้ผลตอบแทนในปี 2024 ต่ำกว่าปี 2023 โดยได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งจะทำให้บริษัทจดทะเบียนมีผลประกอบการลดลง แม้ว่าธนาคารกลางทั่วโลกนำโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยก็ตาม ซึ่งสิ่งที่นักลงทุนและนักวิเคราะห์กังวลไม่ใช่เรื่องที่ธนาคารกลางปรับลดอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่าคาด แต่เป็นเรื่องของกำไรต่อหุ้นที่ลดลงมากกว่าคาด ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง และภาคเอกชนขาดอำนาจในการกำหนดราคา
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์อีกส่วนหนึ่งมองว่า การเปิดตลาดประเดิมวันแรกในช่วงปีใหม่ที่ปรับตัวร่วงลงถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้น เนื่องจากนักลงทุนมีการปรับพอร์ตการลงทุนของตนเอง และช่วงปีใหม่ถือเป็นช่วงเทขายเพื่อจำกัดการขาดทุนจากการเสียภาษีอยู่แล้ว ซึ่งมองจากเงื่อนไขภาพรวมของทิศทางเศรษฐกิจในปี 2024 นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งยังคงเชื่อมั่นว่าตลาดหุ้นยังมีโอกาสขยับขยาย โดยเฉพาะหลังจากที่มีรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนออกมา
อ้างอิง: