วานนี้ (13 ตุลาคม) สำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (OCHA) เปิดเผยข้อมูลประมาณการล่าสุดว่า มีชาวปาเลสไตน์หลายหมื่นคนที่อพยพไปสู่ทางตอนใต้ของฉนวนกาซาแล้ว หลังจากที่กองทัพอิสราเอลออกประกาศเตือนให้มีการอพยพภายใน 24 ชั่วโมง ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ว่าจะมีปฏิบัติการทางทหารที่ภาคพื้นเกิดขึ้นในดินแดนแห่งนี้
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลระบุว่า ประชาชนที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือนั้นมีจำนวนราว 1.1 ล้านคนด้วยกัน และก่อนที่จะมีประกาศเตือนออกมานั้นก็มีประชาชนชาวปาเลสไตน์ที่ต้องพลัดถิ่นฐานภายในฉนวนกาซากว่า 400,000 คน
องค์การสหประชาชาติ (UN) ย้ำว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่ชาวปาเลสไตน์ในกาซาจะเดินทางอพยพไปสู่ตอนใต้ของประเทศตามคำสั่งของอิสราเอลได้ ‘โดยไม่เกิดผลกระทบร้ายแรงด้านมนุษยธรรม’
ขณะเดียวกัน โครงการอาหารโลก (WFP) ระบุว่า ทางองค์กรได้แจกจ่ายอาหารให้กับประชาชนราว 135,000 คนในศูนย์พักพิงทั่วฉนวนกาซาวานนี้ แต่ก็ได้กล่าวเตือนว่า ‘สิ่งของสำหรับช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกำลังเหลือน้อยลงทุกที’ หลังจากที่ทางการอิสราเอลสั่งปิดล้อมฉนวนกาซา
นอกจากนี้ยังมีรายงานด้วยว่า ผู้คนส่วนใหญ่ในกาซาตอนนี้ไม่สามารถเข้าถึงน้ำสะอาดสำหรับดื่มกินได้ โดยแถลงการณ์ของ OCHA ระบุว่า “ทางเลือกสุดท้ายสำหรับประชาชน พวกเขาต้องบริโภคน้ำกร่อยจากบ่อเกษตรกรรม ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลร้ายแรงเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคที่มากับน้ำ”
นับตั้งแต่ที่ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มฮามาสกับอิสราเอลปะทุขึ้นรอบใหม่เมื่อวันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 3,300 คนด้วยกัน โดยเป็นชาวปาเลสไตน์ราว 1,900 คน และชาวอิสราเอลราว 1,400 คน ด้านกระทรวงการต่างประเทศรายงานว่า จำนวนคนไทยที่เสียชีวิตเพิ่มเป็น 24 คน บาดเจ็บ 16 คน และถูกจับเป็นตัวประกัน 16 คน
ภาพ: Ashraf Amra / Anadolu via Getty Images
อ้างอิง: