สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนเป็นที่สนใจของทั่วโลกในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังปรากฏรายงานข่าวที่สะท้อนถึงวิกฤตการณ์ด้านอสังหาริมทรัพย์ จากกรณีการยื่นขอคุ้มครองภาวะล้มละลายของบริษัทอสังหารายใหญ่อย่าง Evergrande และ Sunac China ซึ่งในรายของ Evergrande นั้น ประธานบริษัทและอดีตผู้บริหารก็ถูกตำรวจกักตัวไว้ด้วย ในขณะที่ยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ที่มียอดขายบ้านคิดเป็นกว่า 40% ของอสังหาจีน คือ Country Garden ก็เผชิญปัญหาจนเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้
สิ่งที่เกิดขึ้นในวงการธุรกิจอสังหาของจีน ฉายให้เห็นภาพปัญหาเศรษฐกิจที่ก่อตัวมาตั้งแต่ช่วงที่สถานการณ์โควิดยังไม่สิ้นสุด
โดยตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว อีกทั้งยังมีอัตราว่างงานของคนหนุ่มสาวที่เพิ่มสูง ทำให้หลายฝ่ายเกิดความกังวลว่า มหาอำนาจที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลก และมีประชากรมากกว่า 1.4 พันล้านคน กำลังเผชิญปัญหาใหญ่ทางเศรษฐกิจอยู่หรือไม่? และปัญหานั้นจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงไทยที่เป็น ‘คู่ค้าสำคัญ’ และมีจีนเป็นตลาดใหญ่หรือเปล่า?
THE STANDARD ไขคำตอบความกังวลในเรื่องนี้กับ ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร รองคณบดีคณะนิติศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สถานการณ์เศรษฐกิจจีนตอนนี้เลวร้ายอย่างที่สื่อต่างชาติกังวลหรือไม่?
ดร.อาร์ม ให้คำอธิบายต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของจีนตอนนี้ไว้ 3 ข้อ คือ
- จุดที่แย่ที่สุดของเศรษฐกิจจีนนั้นผ่านพ้นไปแล้วในไตรมาสที่ 2
- ตอนนี้เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจจีนแบบค่อยเป็นค่อยไป ตัวเลขการบริโภคเริ่มฟื้น ในระยะกลางอาจไม่ได้เติบโตสูงเหมือนในอดีตที่เคยโตร้อยละ 10 ลงมาจนถึงร้อยละ 6 ผลประเมินโดยทั่วไปชี้ว่า ต่อจากนี้ในช่วง 5 ปี เศรษฐกิจจีนจะเติบโตได้ในระดับประมาณร้อยละ 4-5
- เศรษฐกิจจีนมีลักษณะของการซึม และมีอัตราการเติบโตที่ช้าลงหากเทียบกับในอดีต แต่ไม่มีวิกฤตใหญ่ที่ร้ายแรงเหมือนวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 1997 หรือวิกฤตซับไพรม์ ในปี 2008 ที่ก่อผลกระทบไปทั่วโลก
คล้ายกับวิกฤตซับไพรม์ที่ต้นตอเกิดจากความซบเซาของตลาดอสังหาในสหรัฐฯ หรือไม่?
สำหรับวิกฤตสินเชื่อซับไพรม์ (Subprime Mortgage Crisis) หรือวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ (Hamburger Crisis) ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก สาเหตุหลักเริ่มจากการที่ภาวะฟองสบู่ในตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐอเมริกาแตก และการผิดนัดชำระหนี้ของสินเชื่อซับไพรม์และสินเชื่อดอกเบี้ยลอยตัวที่เริ่มตั้งแต่ปี 2005-2006 โดยนับเป็นวิกฤตการเงินที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1
ดร.อาร์ม ชี้ว่า ปัญหาในธุรกิจอสังหาของจีนกับวิกฤตซับไพรม์มีความแตกต่างกัน เพราะลักษณะพิเศษของเศรษฐกิจการเมืองจีนนั้น การกู้ในจีนส่วนใหญ่คือเป็นหนี้ภายในประเทศ และธนาคารทั้งหมดของจีนล้วนเป็นธนาคารของรัฐ ดังนั้นการควบคุมและการปรับโครงสร้างหนี้สามารถทำได้ง่ายกว่า หากเทียบกับระบบของต่างประเทศ
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า ความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาในเชิงระบบ หรือการล้มแบบโดมิโนเอฟเฟกต์ในจีนนั้นมีไม่สูงนัก เพราะรัฐบาลจีนน่าจะมีมาตรการต่างๆ ที่สามารถควบคุมได้ ไม่ให้ลามจนกลายเป็นวิกฤต
ทว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ในจีนมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 15-30 ของเศรษฐกิจจีนโดยรวม ดังนั้นหากภาคอสังหาของจีนยังไม่ฟื้น ก็จะส่งผลกระทบไปยังหลายอุตสาหกรรมในห่วงโซ่ และกระทบต่อตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจจีนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ขณะเดียวกันความมั่งคั่งของประชากรจีนจำนวนมากก็อยู่ในภาคอสังหา เพราะฉะนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นก็ย่อมกระทบต่อความรู้สึกและความปลอดภัยทางเศรษฐกิจ ทำให้ชาวจีนไม่กล้าจับจ่ายใช้สอยและลดการบริโภคลง
ขณะที่แต่เดิมนั้น รัฐบาลท้องถิ่นของจีนมีรายได้ส่วนสำคัญจากการนำที่ดินของรัฐไปพัฒนาอสังหาร่วมกับเอกชน สถานการณ์ตอนนี้จึงยิ่งทำให้เกิดความกดดันต่อความสามารถทางการคลังของรัฐบาลท้องถิ่น ดังนั้นจึงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนในลักษณะที่ทำให้เศรษฐกิจซึมและอัตราการเติบโตลดต่ำลง
ไทย-โลกกังวลผลกระทบ หลังชาวจีนลดการบริโภค
ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ยอดค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคของจีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2022 และต่ำกว่าที่สถาบันวิจัย 14 แห่งคาดการณ์ไว้ที่ประมาณร้อยละ 2.8-10.8 ซึ่งได้รับผลกระทบจากยอดจำหน่ายรถยนต์ที่ชะลอตัว
ขณะที่ตัวเลขการใช้จ่ายสินค้าและบริการ ตลอดจนปัญหาในธุรกิจอสังหาที่ทำให้การสร้างบ้านขายในจีนลดลง ส่งผลให้ความต้องการวัตถุดิบและสินค้าโภคภัณฑ์ลดลง โดยในเดือนสิงหาคม อัตรานำเข้าสินค้าของจีนลดลงเกือบ 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งประเทศยังอยู่ภายใต้ข้อจำกัดจากมาตรการโควิดเป็นศูนย์
การลดการบริโภคและการนำเข้าสินค้าของจีนที่เป็นตลาดสำคัญของหลายประเทศรวมถึงไทย ก่อให้เกิดความกังวลไม่น้อยว่า หลายภาคธุรกิจอาจได้รับผลกระทบ
โดย ดร.อาร์ม ชี้ว่าปัญหานี้อยู่ที่ประเทศไหนมีความเชื่อมโยงหรือพึ่งพาจีนมากหรือน้อยกว่ากัน ตัวอย่างเช่น หากเราพึ่งพานักท่องเที่ยวจีน แต่เศรษฐกิจจีนเกิดปัญหา ก็อาจทำให้ชาวจีนออกมาเที่ยวต่างประเทศน้อยลง เลือกที่จะเที่ยวในประเทศมากขึ้น และหากการส่งออกของเรามีสัดส่วนตลาดจีนที่สูง ภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนก็ย่อมกระทบกับภาคการส่งออก ซึ่งอันนี้ขึ้นอยู่กับความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจกับจีน และในแต่ละประเทศก็อาจมีผลกระทบที่แตกต่างกัน
แต่แน่นอนว่าประเทศในเอเชียรวมถึงไทยเองก็จะมีความเชื่อมโยงกับจีนที่สูงกว่าภูมิภาคอื่นๆ เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจจีนที่ซึมลงก็จะส่งผลกระทบต่อบรรยากาศเศรษฐกิจในเอเชียมากตามไปด้วย
เศรษฐกิจจีนยังควบคุมได้ ไม่มีผลกระทบลุกลามวงกว้าง?
ดร.อาร์ม ย้ำว่า ภาวะเศรษฐกิจจีนที่เป็นไปในลักษณะของการซึม และตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่แย่ในช่วงไตรมาสที่ 2 เพียงไตรมาสเดียว อาจเร็วเกินไปที่จะสรุปได้ว่าเศรษฐกิจจีนนั้นวิกฤต
โดยเศรษฐกิจจีนไตรมาสที่ 2 ที่บอกว่าแย่นั้น มีนัย 2 ข้อ
- แย่เมื่อเทียบกับการเติบโตในอัตราที่สูงในอดีต
- แย่เมื่อเทียบกับความคาดหวังต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ ‘แรงและเร็ว’ ของจีน ภายหลังการเปิดเมืองและผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิดที่เข้มงวด แต่การฟื้นตัวกลับไม่ดีขึ้นชัดเจนอย่างที่คาดไว้ เพราะปัจจัยจากภาคอสังหา ซึ่งมีสัดส่วนที่สูงต่อเศรษฐกิจจีน ส่วนการบริโภคแม้จะมีลักษณะของการฟื้นตัว แต่สัดส่วนการบริโภคต่อ GDP ของจีนไม่ได้สูงเหมือนหลายประเทศตะวันตก จึงทำให้ไม่สามารถพยุงเศรษฐกิจจีนให้ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
เศรษฐกิจจีนซึม กระทบไทยตั้งตารอนักท่องเที่ยวจีนกลับมา
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า สถิตินักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาไทยในช่วง 8 เดือนของปี 2023 มีจำนวนกว่า 2.2 ล้านคน ซึ่งยังดูห่างไกลจากตัวเลข 11 ล้านคนในช่วงก่อนโควิด และห่างจากเป้าหมาย 5 ล้านคนที่ ททท. ตั้งไว้
ดร.อาร์ม อธิบายถึงเหตุผลที่นักท่องเที่ยวจีนไม่กลับมาไทยอย่างที่หวังไว้ มีปัจจัย 3 ข้อ ได้แก่
- กระบวนการทำวีซ่าเข้าประเทศมีความยุ่งยาก
- ปัญหาเรื่องข่าวที่แพร่หลายในจีนเกี่ยวกับความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินในการท่องเที่ยวในภูมิภาค ไม่เฉพาะแค่ไทย
- ปัญหาเศรษฐกิจจีนที่ส่งผลกระทบ ทำให้คนจีนเลือกท่องเที่ยวในประเทศ อีกทั้งรัฐบาลจีนก็ส่งเสริมให้ประชาชนเที่ยวในประเทศเป็นลำดับแรก
โดยหากดูจากทั้ง 3 ปัจจัย จะเห็นว่ารัฐบาลไทยได้ผ่อนคลายปัจจัยที่ 1 ด้วยมาตรการฟรีวีซ่า หรือการยกเว้นวีซ่าชั่วคราวแก่นักท่องเที่ยวจีน ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ช่วง Golden Week หรือวันหยุดยาวฉลองวันชาติจีน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ดังนั้นแนวโน้มตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนก็น่าจะดีขึ้น
ขณะที่หากบรรยากาศหรือสภาพทางเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มปรับดีขึ้น ก็อาจส่งผลในแง่บวกมากขึ้นด้วย
ปัญหาเศรษฐกิจที่เผชิญอยู่จะทำให้จีนต้องลดความช่วยเหลือหรือการลงทุนในต่างประเทศไหม?
ที่ผ่านมาจีนถือเป็น ‘พ่อบุญทุ่ม’ ที่ให้ความช่วยเหลือมากมายแก่หลายประเทศ โดยเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐานและการลงทุน แต่ภาวะเศรษฐกิจที่ประสบปัญหา ทำให้เกิดคำถามว่าความช่วยเหลือเหล่านี้จะยังดำเนินต่อไปหรือไม่
ดร.อาร์ม มองเรื่องนี้โดยชี้ว่า จีนยังคงเดินหน้านโยบายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative) ซึ่งเป็นโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ แต่แน่นอนว่าความสามารถทางการคลังและการลงทุนของจีนอาจไม่ได้สูงเช่นในอดีต ทำให้ต้องมีการจัดลำดับความสำคัญต่อโครงการและการลงทุนในประเทศต่างๆ มากขึ้น ไม่สามารถลงทุนในลักษณะเหวี่ยงแหได้แบบเดิม
“จีนยังมีเรื่องในประเทศที่ต้องใส่ใจและแก้ไขปัญหา จึงอาจจะไม่สามารถที่จะเดินเกมในลักษณะเชิงรุกเท่ากับในอดีต แต่คงไม่ได้เปลี่ยนแปลงแนวคิดพื้นฐานของนโยบายหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ที่เป็นการแสวงโอกาสให้ธุรกิจจีนในการหาตลาดใหม่เพิ่มเติม และตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ใหญ่ของจีนในการเพิ่มบทบาทในเวทีโลก”
‘จีน’ กับ ‘โลก’
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์บางคนตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ที่ปัญหาเศรษฐกิจอาจทำให้จีนที่กำลังอ่อนแอ มีความพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดส่งออกใหญ่ โดยมาตรการที่เป็นข้อจำกัดทางการค้าของสหรัฐฯ ส่วนหนึ่งส่งผลให้การส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ ลดลงถึง 25% ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้
แต่การปรับเปลี่ยนทิศทางหรือนโยบายเศรษฐกิจของจีนให้อ่อนลงเพื่อฟื้นความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ นั้น ยังเป็นคำถามใหญ่ที่ผู้ให้คำตอบอาจไม่ใช่จีนฝ่ายเดียว
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่จีนฝ่ายเดียว ถึงจีนอยากจะฟื้นความสัมพันธ์ ก็อาจจะไม่ได้อยู่ในจุดที่สหรัฐฯ ต้องการฟื้นความสัมพันธ์ด้วย ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ก็อยู่ที่จุดยืนในหลายๆ เรื่อง เช่น เรื่องไต้หวัน สงครามเทคโนโลยี สงครามการค้า ซึ่งสหรัฐฯ ก็ไม่มีท่าทีที่จะเปลี่ยนแปลงจุดยืนเหล่านี้ต่อจีน จึงยังเป็นเรื่องที่ลำบาก หากจะบอกว่าจะเห็นทั้ง 2 ประเทศฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างกัน” ดร.อาร์ม กล่าว
ความเห็นหนึ่งจากผู้สังเกตการณ์ในวอชิงตัน มองว่าการที่ภาวะเศรษฐกิจจีนอยู่ในช่วงขาลงนั้น อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินการกรณีไต้หวัน ซึ่งจีนยืนยันมาตลอดว่าเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของตน
ไมค์ กัลลาเกอร์ สส. จากพรรครีพับลิกัน และประธานคณะกรรมการวิสามัญด้านจีนของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ กล่าวว่า ปัญหาภายในที่จีนกำลังเผชิญอยู่ ทำให้ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง “คาดเดาได้ยากมากขึ้น” และอาจส่งผลให้เขา “ทำสิ่งที่โง่เขลา” ในกรณีไต้หวัน
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายคนปฏิเสธแนวคิดนี้ รวมถึงประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ซึ่งมองว่าขณะนี้ผู้นำจีนมีเรื่องยุ่งเหยิงเต็มมือในการจัดการกับปัญหาเศรษฐกิจของตนเอง
“ผมไม่คิดว่ามันจะทำให้จีนบุกไต้หวัน แต่ในความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม จีนอาจจะไม่มีความสามารถเท่าเมื่อก่อน” ไบเดนกล่าว
แต่ ดร.อาร์ม มองว่า การที่จีนจะบุกหรือไม่บุกไต้หวัน หรือมีจุดยืนอย่างไรในด้านการต่างประเทศนั้น อาจไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่าเกี่ยวข้องกับประเด็นความเข้มแข็งหรืออ่อนแอในทางเศรษฐกิจ โดยอาจเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของผู้นำจีน หรือจุดยืนของฝ่ายตรงข้ามต่อประเด็นนี้ เช่น จุดยืนของสหรัฐฯ ต่อไต้หวัน และจุดยืนของไต้หวันต่อสถานะของตนเอง
อ้างอิง:
- https://www.bbc.com/news/business-66840367
- https://www.bbc.com/news/business-58579833
- https://www.dw.com/en/chinas-property-crisis-evergrandes-woes-threaten-recovery/a-66945270
- https://www.theguardian.com/world/2023/aug/18/china-property-crisis-deepens-as-developer-country-garden-at-risk-of-default-evergrande
📌 ไม่พลาด! งาน THE STANDARD Economic Forum 2023 บัตรจำนวนจำกัด ซื้อวันนี้!
Early Bird 2,500 บาท (ราคาเต็ม 3,990 บาท)
🔥 เข้างานได้ทั้ง 3 วัน
🔥 รับสิทธิ์ดูย้อนหลัง ฟรี! 3 เดือน
🔥 จำนวนจำกัด 1,000 ใบ
Corporate Tickets 2,000 บาท (เมื่อสั่งซื้อ 10 ใบขึ้นไป)
🔥 เข้างานได้ทั้ง 3 วัน
🔥 รับสิทธิ์ดูย้อนหลัง ฟรี! 3 เดือน
https://thestandard.co/zipeventapp/e/Economic-Forum-2023/056