ของแขก The Djinn’s Curse คือผลงานการกำกับของ มะมูน-เกรียงไกร มณวิจิตร ว่าด้วยเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่ต้องอพยพไปอยู่จังหวัดนราธิวาสเนื่องจากปัญหาทางการเงิน แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เมื่อการมายังสถานที่แห่งนี้ทำให้พวกเขาต้องเข้าไปพัวพันกับสิ่งเร้นลับที่เรียกว่า ‘ของแขก’ โดยไม่ได้ตั้งใจ ทว่าความลับอันดำมืดเบื้องหลังเหตุการณ์นี้ อาจเกี่ยวโยงกับบ้านที่พวกเขาพักอาศัย และอดีตที่ไม่อาจเปิดเผยของคนในครอบครัว
การที่ มะมูน ซึ่งเป็นผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นคนนราธิวาส ได้นำเรื่องราวและเรื่องเล่าในบ้านเกิดของเขามาใช้เป็นวัตถุดิบในการทำภาพยนตร์ก็มีหลายสิ่งที่น่าสนใจ ทั้งเรื่องผี ศาสนา หรือแม้กระทั่งพิธีกรรมมนตร์ดำทางภาคใต้ที่ดูจะห่างไกลจากชีวิตของใครหลายคนพอสมควร ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนมีเสน่ห์อย่างมากเมื่อได้ยินในคราแรก แต่พอกลายเป็นภาพยนตร์ที่ต้องอิงอาศัยความสามารถของคนเล่าเรื่อง องค์ประกอบเหล่านี้กลับเป็นสิ่งที่ถูกลดทอนลงอย่างมาก เมื่อภาพยนตร์เต็มไปด้วยบาดแผลมากมายที่ผุดขึ้นมาตามทาง
เริ่มตั้งแต่เหล่าบรรดานักแสดงที่เรียกได้ว่าการ ‘เล่นใหญ่ใส่เต็ม’ ของพวกเขาไม่ได้ส่งผลอะไรต่อความรู้สึกของคนดูมากมายขนาดนั้น ที่สำคัญ การเล่นใหญ่ที่ว่าก็ดูเหมือนการแสดงที่มีเอาไว้ใช้กับบริบทของละครเวทีเสียมากกว่า และด้วยเหตุนี้เมื่อมันอยู่ในฟอร์มการเล่าเรื่องแบบภาพยนตร์ที่ไม่ได้ห่างไกลจากสายตาของคนดู การขยายการแสดงของพวกเขาออกมาจึงทำให้เห็นถึง ‘ความล้นทะลัก’ และ ‘แข็ง’ มากมายเหลือคณานับ
ซึ่งส่งผลต่อความน่าเชื่อถือที่คนดูควรจะรู้สึกคล้อยตามกับสิ่งที่ผู้กำกับต้องการจะเล่าเป็นอย่างมาก แม้จะรู้ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงแค่เรื่องที่ปั้นเสริมเติมแต่งโดยอิงมาจากหลักศาสนาก็ตาม
อย่างที่สองที่เป็นปัญหาใหญ่ไม่แพ้กัน หรืออาจใหญ่กว่าคือ การลำดับภาพโดยใช้เทคนิคเฟดดำในการเปลี่ยนฉาก จนทำให้อารมณ์ของคนดูที่ควรจะไหลไปตามสถานการณ์ของตัวละครถูกตัดทิ้งไปอย่างห้วนๆ ซึ่งถ้าว่าการตามเนื้อผ้า ภาพยนตร์คือ ‘เวลา’ และ ‘พื้นที่’ การตัดแบ่งสองอย่างนี้ให้สัมพันธ์กันถือเป็นงานศิลปะ เฉกเช่นเดียวกับการที่ภาพยนตร์เป็น และไม่ว่าจะเพราะเหตุใดก็ตาม การลำดับภาพที่ไม่ไยดีแบบนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าตั้งคำถามกลับไปยังผู้สร้างว่า เหตุใดพวกเขาถึงได้ตัดสินใจทำเช่นนี้
จนนำมาสู่ปัญหาสุดท้ายคือการเล่าเรื่องที่ตั้งใจจะผูกโยงออกมาอย่างฉงนสนเท่ห์ แต่กลับคว่ำไม่เป็นท่าเพราะบทสรุปของมันจบลงอย่างรวบรัด และเพลย์เซฟเสียจนคิดว่าผู้กำกับต้องการที่จะวิ่งหนีจากความซ้ำซากจำเจจริงหรือ อีกทั้งในส่วนของอดีตกับปัจจุบันที่ถูกเล่าออกมาเป็นเส้นขนานกันก็ยังดูกระจัดกระจายไร้ทิศทางราวกับ ‘มันมือ’ อย่างไรอย่างนั้น ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เรื่องราวไสยศาสตร์ของชาวมุสลิมที่ดูแปลกใหม่ในวงการภาพยนตร์ไทยจบลงที่คำว่า ‘พัง’ อย่างน่าเสียดาย
อย่างไรก็ตาม หากดูจากจำนวนโรงและรอบฉายที่ ของแขก ได้มาก็เป็นเรื่องที่น่าดีใจ เพราะไม่ว่าภาพยนตร์ไทยเรื่องนั้นจะดีหรือไม่อย่างไร คนที่ควรตัดสินเป็นคนสุดท้ายก็คือคนดูอย่างเราๆ ที่ตามปกติการหาภาพยนตร์ไทยสักเรื่องในโรงที่มีรอบฉายให้เลือกชมมากมายถึงขนาดนี้ถือเป็นสิ่งที่พิเศษมาก (ทั้งที่ไม่ควร) ซึ่งผู้เขียนก็หวังว่าภาพยนตร์ไทยเรื่องอื่นไม่ว่าจะเป็นกระแสหลักหรือกระแสรองก็สมควรได้รับโอกาสแบบนี้เช่นเดียวกัน
ของแขก The Djinn’s Curse เข้าฉายแล้ววันนี้ในโรงภาพยนตร์
รับชมตัวอย่างได้ที่: