สืบเนื่องจากวันที่ 20 กันยายน 2566 ที่ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่าน X (Twitter) ว่าได้มีโอกาสพบกับ ลาร์รี ฟิงก์ ซีอีโอกลุ่มบริษัท BlackRock ผู้นำในธุรกิจบริหารสินทรัพย์ระดับโลก เพื่อหารือแนวทางการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะการสนับสนุนธุรกิจประเภทพลังงานสะอาดและพันธบัตรความยั่งยืน
THE STANDARD WEALTH จึงอยากพาทุกคนมาอัปเดตพอร์ตการลงทุนของ BlackRock บริษัทจัดการสินทรัพย์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลกที่ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1988 โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน 8 คน และหนึ่งในนั้นคือ Larry Fink ที่ยังคงดำรงตำแหน่งซีอีโอจนถึงปัจจุบัน
BlackRock ทำธุรกิจอยู่ใน 36 ประเทศด้วยพนักงานกว่า 19,000 คน และจากข้อมูล ณ ไตรมาส 2 ของปี 2023 บริษัทมีมูลค่าสินทรัพย์ที่อยู่ภายใต้การจัดการ (Asset Under Management: AUM) ที่ 9.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเป็นเงินไทยประมาณ 337.6 ล้านล้านบาท
แล้วไอ้เจ้าตัวเลข 9.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐนี่มันใหญ่ขนาดไหน?
หากจะเทียบให้พอเห็นภาพ เราลองนึกถึงตัวเลข GDP ประเทศไทยทั้งปี 2565 ที่ 17.4 ล้านล้านบาท ตามรายงานของสภาพัฒน์ หมายความว่ามูลค่าสินทรัพย์ของ BlackRock มีมากกว่า GDP ประเทศไทยถึงประมาณ 19 เท่า
THE STANDARD WEALTH จึงได้รวบรวมข้อมูลของหุ้น 20 ตัวแรกที่ BlackRock ถือครอง ณ ไตรมาส 2 ของปี 2023 ตามรายงานการถือครองหลักทรัพย์ (13F Filings) ที่นักลงทุนสถาบันต้องนำส่งต่อ ก.ล.ต.สหรัฐฯ ในทุกๆ ไตรมาส เพื่อให้เห็นภาพง่ายขึ้นและเป็นข้อมูลเพิ่มเติมแก่นักลงทุน โดยหุ้น 20 ตัวดังกล่าวมีมูลค่าไปแล้วกว่า 1.08 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 11.5% ของมูลค่าสินทรัพย์ที่อยู่ภายใต้การจัดการทั้งหมดของบริษัท
อาจไม่น่าประหลาดใจมากนักเมื่อหุ้นอันดับต้นๆ ที่ BlackRock ถือครองอยู่ยังเป็นเหล่าบริษัทบิ๊กเทคที่ขายสินค้าและบริการให้ผู้คนทั่วโลกใช้งาน เช่น AAPL, MSFT, AMZN, NVDA, GOOGL โดยหุ้น 5 ตัวแรกนี้คิดเป็นสัดส่วนถึง 16.3% ของพอร์ตหุ้นบริษัทที่มีทั้งหมดกว่า 5,500 ตัว
โดยอุตสาหกรรมที่ BlackRock เข้าไปลงทุนมากที่สุดเป็น 3 อันดับแรกคือ เทคโนโลยี (26.4%) การเงิน (14.3%) และสุขภาพ (13.1%)
นอกจากนี้อีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจคือจำนวนการถือครองหุ้นในบริษัทต่างๆ ของ BlackRock เพราะคนบางกลุ่มแสดงความน่ากังวลกับอิทธิพลที่ BlackRock มีต่อบริษัทใหญ่หลายรายในหลายอุตสาหกรรม หนึ่งในนั้นคือ วิเวก รามาสวามี หนึ่งในผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกัน ที่เคยออกมากล่าวใน X (Twitter) ว่า “บริษัทจัดการสินทรัพย์รายใหญ่ 3 เจ้าของโลก BlackRock, Vanguard, State Street น่าจะเป็นระบบการผูกขาดทางธุรกิจที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เพราะบริษัทเหล่านี้เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทมหาชนหลักๆ ของโลก หรือแม้กระทั่งเป็นเจ้าของกันเองระหว่าง 3 กองทุนใหญ่นี้”
ตารางด้านล่างแสดงให้เห็นถึงสัดส่วนการเป็นเจ้าของในธุรกิจต่างๆ โดย BlackRock ซึ่งหุ้นที่มีสัดส่วนมากที่สุดคือ Merck (MRK) บริษัทยาและนวัตกรรมการแพทย์ 8.1% ตามมาด้วย Microsoft (MSFT) บริษัทผลิตและพัฒนาซอฟต์แวร์ที่หลายธุรกิจทั่วโลกใช้ 7.15% และอื่นๆ อีกหลายตัว รวมไปถึงการเข้าซื้อครั้งแรกของบริษัทและราคาเฉลี่ยที่ซื้อของหุ้นแต่ละตัวที่เข้าซื้อ
หลังจากที่นายกฯ เศรษฐาได้หารือกับ ลาร์รี ฟิงก์ แล้ว เราก็ต้องจับตาดูว่าการลงทุนและบทบาทของ BlackRock จะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจไทยไปในทิศทางใดต่อจากนี้
ภาพประกอบ: กริน วสุรัฐกร
อ้างอิง:
- https://www.blackrock.com/corporate/about-us
- https://admiralmarkets.sc/th/education/articles/shares/introduction-to-stock-sectors
- https://www.statista.com/statistics/891292/assets-under-management-blackrock/
- https://capital.com/blackrock-shareholder-who-owns-most-blk-stock#:~:text=Laurence%20D.&text=Fink%20is%20the%20CEO%20and,him%20the%20biggest%20individual%20shareholder.
- https://th.money-h.com/form-13f-invest-hedge-fund-manager-3742
- https://13f.info/manager/0001364742-blackrock-inc
- https://markets.businessinsider.com/news/funds/blackrock-state-street-vanguard-are-most-powerful-cartel-ever-ramaswamy-2023-8