วันนี้ (22 สิงหาคม) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมรัฐสภาที่มี วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เป็นประธานการประชุม โดยมีวาระสำคัญในการพิจารณาบุคคลดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 3
ทั้งนี้ ก่อนเข้าสู่วาระการประชุม ประธานรัฐสภาได้ชี้แจงสาเหตุการสั่งเลื่อนการประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา หลังจาก รังสิมันต์ โรม สส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้เสนอญัตติด่วนด้วยวาจา ให้ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณาทบทวนมติรัฐสภาในการเลือกนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา ที่ห้ามเสนอชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรีซ้ำได้ในสมัยประชุมนี้ ว่า เนื่องจากในระหว่างนั้นผู้ตรวจการแผ่นดินได้ยื่นคำร้องถึงศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยมติของรัฐสภาไปแล้ว จึงกังวลว่าหากรัฐสภาเปิดให้มีการพิจารณาก็อาจส่งผลกระทบและละเมิดต่อกระบวนการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้ จึงสั่งเลื่อนการประชุมดังกล่าวออกไป และหากในวันนี้ (22 สิงหาคม) รังสิมันต์ยังคงติดใจ ก็สามารถเสนอใหม่ได้
โดยรังสิมันต์ได้ขอเสนอญัตติด่วนด้วยวาจา เพื่อขอให้ที่ประชุมรัฐสภาได้พิจารณาทบทวนมติรัฐสภาในการเลือกนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 2 ที่ผ่านมา เนื่องจากมีนักวิชาการด้านกฎหมายออกมาแสดงความคิดเห็นว่า มติของรัฐสภาดังกล่าวไม่ถูกต้อง ที่ทำให้ข้อบังคับการประชุมรัฐสภาใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญ ทั้งที่รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดว่าจะไม่สามารถเสนอชื่อบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรีซ้ำไม่ได้ และไม่ควรให้การตีความในลักษณะดังกล่าวกลายเป็นบรรทัดฐานในอนาคต พร้อมย้ำว่า การเสนอให้รัฐสภาทบทวนมติรัฐสภานั้น ไม่ใช่ความพยายามของตนเองที่จะทำให้ชื่อของพิธากลับมาเสนอซ้ำในรัฐสภาได้ เพราะพรรคก้าวไกลไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะเสนอบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรีได้ เพราะ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลเดิมนั้นได้แยกย้ายกันไปหมดแล้ว
ขณะที่ประธานรัฐสภาใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 80 วินิจฉัยไม่รับญัตติด่วนด้วยวาจาที่รังสิมันต์เสนอมา เพราะเห็นว่าการใช้ข้อบังคับการประชุมรัฐสภาประกอบรัฐธรรมนูญที่ผ่านมานั้นเป็นไปโดยชอบแล้ว พร้อมชี้แจงว่า ฝ่ายกฎหมายเห็นว่าไม่ควรให้มีการทบทวนมติดังกล่าว เนื่องจากจะทำให้การตัดสินใจของฝ่ายนิติบัญญัติไม่น่าเชื่อถือ ซึ่งรวมถึงเรื่องอื่นๆ ด้วย และพร้อมเคารพความเห็นชอบรังสิมันต์และความคิดเห็นของสังคมด้วย
อย่างไรก็ตาม การใช้อำนาจประธานรัฐสภาตีตกญัตติดังกล่าว ทำให้ สส. ของพรรคก้าวไกล ลุกขึ้นประท้วงการทำหน้าที่ของประธานรัฐสภา เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้มีคำวินิจฉัยใดๆ และมีเพียงคำสั่งไม่รับคำร้องเท่านั้น
โดย ธีรัจชัย พันธุมาศ สส. กรุงเทพฯ พรรคก้าวไกล ได้ลุกขึ้นประท้วงถึงการทำหน้าที่ของประธานรัฐสภาที่ไม่เป็นกลาง และไม่กล้าใช้อำนาจประธานรัฐสภาชี้ขาด รวมถึงรู้เห็นเป็นใจกับเสียงข้างมากของวุฒิสภาและพรรคขั้วรัฐบาลเก่า จนทำให้วันมูหะมัดนอร์เรียกร้องให้ธีรัจชัยถอนคำพูดที่กล่าวหาว่าตนเองรู้เห็นเป็นใจกับเสียงข้างมาก
พร้อมยืนยันว่า ตนเองก็ไม่ทราบว่าเสียงข้างมากในการลงมติดังกล่าวจะเป็นไปในทิศทางใด และไม่มีใครประท้วงในที่ประชุมว่าประธานรัฐสภาจะให้เสียงข้างมากลงมติ
โดยระหว่างนั้นวันมูหะมัดนอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงมีอารมณ์ให้ธีรัจชัยถอนคำพูด ก่อนที่ธีรัจชัยจะยอมถอนคำพูด
“ไม่อนุญาต เพราะคุณกล่าวหาผมรุนแรง ประธานจะรู้เห็นเสียงข้างมากได้อย่างไร ผมยังนึกเลยว่าเสียงข้างมากจะไม่เห็นด้วยด้วยซ้ำไป แต่เมื่อมีการเสนอญัตติเข้ามา ก็ต้องพิจารณาตามนั้น คุณธีรัจชัยต้องเข้าใจ เราต้องมีความซื่อสัตย์ต่อตัวเอง ผมซื่อสัตย์ต่อตัวเอง
“ถ้าไม่ถอนประเด็นนี้ ผมเสียหาย และคนข้างนอกมองว่าประธานรู้เห็นเป็นใจ ถ้าไม่ถอน ผมไม่พูด นั่งลงครับ ไม่เดี๋ยวครับ นั่งลง จะนั่งลงไหม จะนั่งลงไหม คุณกล่าวหา คุณไม่ถอนไม่ได้ คำสั่งของประธานถือว่าเด็ดขาด การให้ถอน ให้นั่ง ถือว่าเด็ดขาด ถ้าถอนผมให้นั่ง ถ้าไม่ถอนผมไม่ให้นั่ง” วันมูหะมัดนอร์กล่าว
ทั้งนี้ หลังการปะทะคารมกันระหว่างวันมูหะมัดนอร์กับธีรัจชัยเสร็จสิ้น รังสิมันต์ได้ลุกขึ้นขอถอนญัตติด่วนด้วยวาจาดังกล่าว เพื่อให้รัฐสภาสามารถเดินหน้าเข้าสู่วาระการประชุมรัฐสภา เพื่อพิจารณาบุคคลดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป