วันนี้ (24 กรกฎาคม) ที่รัฐสภา เสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ให้สัมภาษณ์ถึงความกังวลการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 27 กรกฎาคมนี้ว่า แม้พรรคก้าวไกลจะประกาศอยู่กับพรรคเพื่อไทยอย่างไร แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับพรรคเพื่อไทยจะตัดสินใจ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงที่ประชุมรัฐสภาวางมาตรฐานเกี่ยวกับการใช้ข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อ 41 ห้ามเสนอชื่อซ้ำเป็นรอบที่สองในสมัยประชุมเดียวกัน เว้นแต่ประธานรัฐสภาเห็นว่ามีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไป ทำให้พรรคเพื่อไทยมีความกังวลในการเสนอชื่อบุคคลไปแล้วจะไม่ผ่านความเห็นชอบว่า เรื่องนี้ไม่เดดล็อก วันประชุมรัฐสภาวันนั้นเวลาน้อย ตนพยายามอธิบายแล้วว่า สิ่งสำคัญต้องยึดรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 (2) บัญญัติชัดเจนเสนอชื่อได้หนึ่งครั้ง เสนอชื่อซ้ำไม่ได้ เพราะระบุว่า ไม่อาจแต่งตั้งชื่อนายกฯ ในบัญชีพรรคการเมืองได้ตามมาตรา 88 เมื่อไม่มีใครเสนอคนในบัญชีต่อที่ประชุมรัฐสภาแล้ว เขาจึงบัญญัติไว้ในวรรคสองให้ยกเว้นเสนอชื่อคนในบัญชี เมื่อยกเว้นได้รัฐธรรมนูญเขียนต่อไว้ว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบคนในบัญชีก็ได้ แปลว่าจะเอาคนนอกหรือคนในบัญชีเดิมก็ได้ แต่ต้องดำเนินการให้หมดบัญชีก่อนแล้วค่อยใช้เสียง 2 ใน 3 ของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสองสภา หรือ 500 เสียง เพื่อยกเว้นหลักการตามวรรคหนึ่ง
“ชื่อในบัญชีเดิมเสนอซ้ำได้ แต่ต้องหลังจากที่ที่ประชุมเห็นพ้องกันแล้วด้วยเสียง 2 ใน 3 ไม่ต้องทะเลาะกันเรื่องข้อบังคับ เพราะนั่นเป็นเพียงส่วนประกอบบัญญัติเพื่อให้กระบวนการเสนอญัตติสามารถทำได้โดยสะดวก ราบรื่น ที่บอกว่าข้อบังคับฯ ข้อ 41 เขียนไว้ว่า เว้นแต่ประธานจะเห็นว่ามีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลง คำว่าเปลี่ยนแปลงที่ว่าไม่ใช่หมายถึงการอยากจะคิดหรือจะทำอะไรก็ได้ แต่หมายความถึงเสียงที่ประชุมรัฐสภา 2 ใน 3 บอกไม่ใช้บทบัญญัติบัญชีเดิม” เสรีกล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ประชุมสามารถใช้ข้อบังคับฯ ยกเว้นการใช้ข้อบังคับฯ ข้อ 41 ได้หรือไม่ เสรีกล่าวว่า ไม่ได้ เพราะข้อ 41 เป็นหลักการทั่วไปของญัตติ เมื่อจะเสนอญัตติใดในรัฐสภา เป็นเรื่องที่เสนอโดยรวมๆ อยู่แล้ว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า ถ้าได้เสียง 2 ใน 3 แล้ว สามารถเสนอชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกฯ ได้หรือไม่ เสรีกล่าวว่า ได้ แต่ถ้าพิธาไปติดเรื่องคุณสมบัติรัฐธรรมนูญก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า โอกาสเกิดรัฐบาลปรองดองจะเป็นไปได้หรือไม่ เสรีกล่าวว่า เป็นไปได้ทั้งนั้น แต่อาจไม่ใช่การรวมทุกพรรคการเมือง จะมีเพียงพรรคก้าวไกลที่อาจไม่ได้เข้าร่วม เพราะเป็นพรรคที่มีจุดยืนแตกต่างจากพรรคอื่นๆ ส่วนการเปิดทางนายกฯ คนนอกก็มีโอกาสเกิดได้เช่นกัน แต่อยู่ที่พรรคการเมืองตกลงร่วมกันว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ และต้องได้เสียง ส.ส. เกิน 251 เสียงขึ้นไป