หลายคนสงสัยว่ารอยยิ้มที่เจิดจ้าเหมือนแสงตะวันนี้ เขาได้มันมาจากที่ไหน?
ทุกอย่างเริ่มต้นที่เมืองมาไซโอ (Maceio) เมืองหลวงของรัฐอาลาโกวัช (Alagoas) ทางตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล
ที่นี่คือแคริบเบียนของบราซิลเลยทีเดียวเชียว แต่ที่มาของรอยยิ้มที่เจิดจ้านั้นไม่ได้มาจากท้องฟ้าสดใสทะเลสดสวยหรอก มันเกิดในหมู่บ้านที่ชื่อว่า ตราปิช ดา บาร์รา (Trapiche da Barra) ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับทะเลสาบที่ไม่ได้สวยใสแต่ยังเน่าเสียกับฟาเวลลา (Favella) ชุมชนแออัดของบราซิลที่เต็มไปด้วยความมืดมัวของชีวิต
โรแบร์โต เฟียร์มิโน บาร์โบซา เด โอลิเวรา เกิดในหมู่บ้านแห่งนี้ ในบ้านหลังเล็กๆ ที่มองเห็นสนามฟุตบอลเอสตาดิโอ เร เปเล (Estadio Rei Pele) สนามฟุตบอลของราชันย์แห่งเกมลูกหนังเปเลอยู่ไกลลิบๆ
เพราะสภาพแวดล้อมแบบนี้ทำให้แม่ของเขาพยายามที่จะหาทางปกป้องลูกชายไม่ให้ชีวิตต้องตกอยู่ในความมืดมนอนธการ เพราะบางครั้งการออกนอกบ้านครั้งหนึ่งอาจหมายถึงการที่ไม่มีโอกาสได้กลับมาบ้านอีกเลยตลอดไป
แต่ตามประสาเด็ก ใครก็อยากเล่นใช่ไหม
ทุกๆ วันหลังคาบ้านของเฟียร์มิโนจะมีเสียงดังเกิดขึ้น เสียงนั้นเกิดจากการที่เพื่อนๆ เอาก้อนหินปาใส่เพื่อเป็นการชวนให้ออกมาเล่นฟุตบอลด้วยกัน เพียงแต่ความที่แม่หวงทำให้การจะออกมาเล่นกับเพื่อนนอกบ้านนั้นไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก
“เขาบ้าบอลมาก แต่เขาออกจากบ้านได้ยาก บางครั้งจะหนีออกมาเขาต้องกระโดดลงจากกำแพงมาเพื่อเล่นกับพวกเราในถนน มีครั้งหนึ่งที่เขาตกลงมาแล้วล้มจนต้องเย็บที่หัวเข่า ทุกวันนี้ยังมีแผลเป็นอยู่เลย” บรูโน บาร์บอซา ดอส ซานโตส เพื่อนในวัยเด็กของเฟียร์มิโนเล่าความหลังให้ฟัง
หนีบ่อยๆ เข้าโค้ชทีมแรกของเขาฟลาเมงกวินโญ (Flamenguinho) เลยตัดสินใจทำบันไดให้เขาปีนออกมาได้ง่ายขึ้น
เฟียร์มิโนหนีออกจากบ้านทั้งๆ ที่แม่ห้ามก็เพราะรักฟุตบอล ต่อให้ไม่มีลูกฟุตบอลมีแค่ส้มลูกเดียวเขาก็เล่นได้ เขาสามารถเดาะส้มแทนลูกบอลไปเรื่อยๆ ได้
“เขาเป็นคนเงียบๆ ขี้อาย เขาแค่ยิ้ม” คือสิ่งที่เพื่อนในวัยเด็กจำเขาได้ เช่นกันกับความเป็นคนมีน้ำใจ ถ่อมตัวไม่เคยโอ้อวดหรือไปกร่างใส่ใคร ทั้งๆ ที่ฝีเท้าในการเล่นฟุตบอลของเขาเข้าขั้นพรสวรรค์ ต่อให้เจอกับเด็กที่โตกว่าก็ไม่ใช่ปัญหา
และทุกคนจำได้ว่าความฝันของเฟียร์มิโนคือการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ เขาอยากเล่นให้เก่งเหมือนโรนัลดินโญ ผู้ที่เล่นฟุตบอลด้วยรอยยิ้มเพื่อให้รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของทุกคน
แต่ก็ยังมีความฝันที่ซ้อนความฝันอีกชั้น เพราะการเป็นนักฟุตบอลอาชีพของเขานั้นคือหนทางที่จะทำให้แม่ พ่อ และน้องสาวได้ไปมีชีวิตใหม่ที่ดีกว่านี้
เรียกได้ว่าเป็นคนที่คิดถึงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ โรแบร์โต เฟียร์มิโน เป็นคนแบบนี้ตลอดมา และมันเป็นสิ่งที่ทุกคนจดจำเขาได้ดีตลอดไป
นับตั้งแต่ที่ย้ายมาจากฮอฟเฟนไฮม์ในฤดูร้อนของปี 2015 ที่มาด้วยชื่อเสียงของสตาร์ดาวรุ่งของบุนเดสลีกาที่น่าจับตามองมากที่สุดคนหนึ่ง เฟียร์มิโนสร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์มาแล้วมากมาย
109 ประตู 79 แอสซิสต์ สำหรับกองหน้าถือว่าไม่ขี้เหร่เลย
ไม่นับการเล่นในฉบับ ‘Joga Bonito’ ที่สามารถสร้างรอยยิ้มให้กับทุกคนด้วยการเล่นฟุตบอลให้เป็นศิลปะ แต่งแต้มสีสันด้วยลูกเล่นนิดๆ หน่อยๆ ใครเห็นก็หลงรัก
จะมีนักฟุตบอลสักกี่คนที่ทำให้เด็กๆ ต้องมาหัดลองเล่นท่าตระกูล ‘No-look’?
จะมีนักฟุตบอลสักคนกี่คนที่แฟนๆ รอลุ้นว่าจะโชว์ท่าดีใจแบบไหนออกมา?
เฟียร์มิโนเป็นนักฟุตบอลที่มีไหวพริบในการเล่นสูงมาก และเขาสามารถตีความการเล่นในตำแหน่งของกองหน้า ‘หมายเลข 9’ ออกมาในแบบใหม่ที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน
หมายเลข 9 ของเฟียร์มิโนคือกองหน้าที่ไม่ได้มีหน้าที่เพียงการทำประตู แต่ยังเป็นคนที่เล่นเกมรับจากแดนบน เป็นคนสร้างแรงกดดันให้กับคู่แข่ง เป็นคนจุดประกายให้ทีมเดินหน้าใส่คู่ต่อสู้ และยังคอยลงมารับบอล เชื่อมเกม เป็นคนร้อยรัดทีมทั้งทีมเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะในยามที่มีบอลหรือไม่มีบอลก็ตาม
สิ่งที่ยากที่สุดคือการที่เขาทำทุกอย่างให้มันดูง่ายที่สุดทั้งๆ ที่ทั้งหมดที่ทำคือการเล่นที่ยากที่สุด ไม่ใช่ใครจะทำได้และอาจจะไม่มีใครทำได้ในแบบเดียวกัน
มากกว่าทักษะ คือหัวใจที่ใหญ่กว่ามหาสมุทร เฟียร์มิโนอุทิศตนให้กับทีมโดยไม่เคยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเลย
เล่นกองหน้าใครก็รู้ว่าต้องยิงประตู แต่สำหรับเฟียร์มิโนแล้วสิ่งที่สำคัญกว่าคือชัยชนะและความสำเร็จของทีม ดังนั้นต่อให้เขามีโอกาสแต่มองเห็นแล้วว่าเพื่อนมีโอกาสที่ดีกว่า เขาจะส่งต่อมันให้กับเพื่อนได้อย่างไม่ลังเล (และนั่นเป็นเหตุผลที่จำนวนแอสซิสต์ของเขาใกล้เคียงกับจำนวนประตูที่ทำได้)
เขายังเป็นโซ่ข้อกลางที่เชื่อมระหว่าง ซาดิโอ มาเน และ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ สองสตาร์เพื่อนร่วมทีมที่มีความแตกต่างในบุคลิกและสไตล์การเล่น และมักจะมีอาการชอบแข่งขันกันเองในสนาม
มีครั้งหนึ่งที่มาเนเกิดโมโหซาลาห์อย่างรุนแรงชนิดที่เรียกได้ว่าภูเขาไฟระเบิดในเกมกับเบิร์นลีย์ หลังจากที่ฝ่ายหลังเลือกที่จะตัดสินใจยิงเองทั้งๆ ที่กองหน้าชาวเซเนกัลอยู่ในตำแหน่งที่ดีและมุมเปิดกว้างกว่า เมื่อถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนามมาเนถึงกับโวยใส่คล็อปป์และออกอาการหัวเสียอย่างหนักจนเพื่อนต้องมาปลอบ
ช็อตนี้ใครเห็นก็ว่าทีมแตกแน่ แต่มันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ท่ามกลางเพื่อนที่มาคอยปลอบและทำให้สงบก็คือเฟียร์มิโน ก่อนจะมีภาพเบื้องหลังจบเกมในช่วงที่นักฟุตบอลเดินกลับเข้าห้องแต่งตัวที่เฟียร์มิโนทำหน้าอมยิ้มกลั้นขำเพราะข้างหลังเขาคือเพื่อนที่ยังอารมณ์ค้างโมโหจากในเกมอยู่
สุดท้ายมาเนก็หายโมโหและค่อยๆ กลับมาคืนดีกับซาลาห์ ซึ่งถ้าไม่มีเฟียร์มิโนก็ไม่รู้จะเป็นอย่างไร และเรื่องนี้ก็เป็นตัวอย่างถึงคุณค่าของกองหน้าชาวบราซิลที่มีต่อทีมที่มากกว่าแค่เรื่องของผลงานในสนาม
เพราะเขาสามประสานนี้จึงเป็นสามประสานที่ดีและยอดเยี่ยมที่สุดในความทรงจำของแฟนลิเวอร์พูล
และเพราะการเล่นแบบไม่มีคำว่าเห็นแก่ตัวคือสิ่งที่ทำให้เฟียร์มิโนเป็นที่รักของทุกคน ในความหมายของคำว่าทุกคนจริงๆ
แม้กระทั่งการตัดสินใจที่จะบอกลา เฟียร์มิโนซึ่งสามารถจะตัดสินใจต่อสัญญากับทีมได้อย่างแน่นอนเพราะ เจอร์เกน คล็อปป์ นายใหญ่ต้องการจะรั้งตัวไว้อยู่แล้ว แต่เขาก็เลือกที่จะไปเพราะมองเห็นว่าทีมต้องการความเปลี่ยนแปลง จึงตัดสินใจเข้าไปแจ้งความประสงค์ด้วยตัวเอง เพราะเชื่อว่านี่คือหนทางที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย
เรียกว่าคิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเองในทุกวินาที
เพราะเป็นคนแบบนี้ทำให้บทเพลง ‘Si Señor’ เพลงประจำตัวของเฟียร์มิโนดังขึ้นเสมอไม่ว่าลิเวอร์พูลจะลงแข่งที่ไหนหรือเมื่อไร ไม่ว่าวันนั้นกองหน้าหมายเลข 9 คนนี้จะลงสนามหรือไม่ก็ไม่สำคัญ
แฟนๆ ก็แค่อยากร้องเพราะอยากให้รู้ว่ารัก
ในเกมที่ลิเวอร์พูลบุกไปเยือนเลสเตอร์ ซิตี้ หลังลิเวอร์พูลทำประตูที่ 2 ได้ บทเพลงนี้ก็ดังขึ้นยาวนานกว่า 10 นาที นำมาซึ่งรอยยิ้มของ ‘บ็อบบี’ ที่ยังไม่ฟิตดีและนั่งอยู่บนม้านั่งข้างสนาม
“ผมจำไม่ได้ว่าผมได้ยินเพลงนี้ครั้งแรกที่ไหน แต่รู้ว่าแฟนๆ คิดเพลงนี้ให้เพื่อนผมแล้ว มันทำให้ผมมีความสุขมาก เพราะมันคือสัญลักษณ์ที่มีความหมายว่าพวกเขารักผม ทุกครั้งที่ได้ยินเพลงนี้ เพลงจะมอบความกล้าหาญให้ผมพยายามทุ่มเทให้มากขึ้นอีก ทั้งเพื่อทีมและเพื่อตัวผมเอง” เฟียร์มิโนกล่าวถึงเพลงนี้
“สองวันก่อน ผมร้องเพลงนี้ในรถตอนที่อยู่กับครอบครัว ลูกๆ ของผมขอให้ผมเปิดเพลงนี้ได้ไหม เราจะได้ร้องเพลงไปด้วยกัน”
วันนี้ที่แอนฟิลด์ ทุกคนจะร้องเพลง Si Señor ไปด้วยกัน
ด้วยรอยยิ้มและน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม
- คุณหมอฟันประจำตัวของเฟียร์มิโนเล่าว่ากองหน้าจอมยิ้มขอให้ทำฟันเบอร์ขาวสุดระดับ Super White ให้ ซึ่งพอทำไปแล้วก็มีคนไข้จำนวนมากที่มาขอให้ทำฟันขาวเพราะอยากจะยิ้มสว่างๆ เหมือนเฟียร์มิโน!
- ในช่วงโควิดระบาดและมีความพยายามจะเริ่มคลายล็อกให้แฟนบอลกลับมา มีเกมหนึ่งที่เฟียร์มิโนยิงประตูได้ แทนที่จะฉลองประตูใกล้ๆ เขาวิ่งสุดกำลังขาเพื่อตัดสนามไปอีกฟากหนึ่งเพราะมีแฟนบอลเดอะค็อปที่ตามมาเชียร์ด้วยความยากลำบากรออยู่ เพื่อฉลองประตูด้วยกัน
- นอกจากเฟียร์มิโนแล้ว วันนี้ลิเวอร์พูลจะบอก ลาเจมส์ มิลเนอร์, นาบี เกอิตา และ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ที่จะหมดสัญญาเช่นเดียวกัน