ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน จีนได้ออกกฎหมายเปลี่ยนแปลงธุรกิจบริการทางการเงินครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ โดยอนุญาตให้บริษัทต่างชาติเป็นเจ้าของบริษัทประกัน ธนาคาร บริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ และผู้จัดการสินทรัพย์ได้อย่างเต็มที่ ทำให้บรรดาธนาคารยักษ์ใหญ่ใน Wall Street ตั้งเป้าขยายธุรกิจในจีน
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ธนาคารเหล่านั้นเริ่มตระหนักแล้วว่า ความใฝ่ฝันที่จะโกยกำไรก้อนโตจากตลาดมูลค่า 60 ล้านล้านดอลลาร์ของจีนนั้นยากยิ่งกว่าที่เคย ท่ามกลางปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่คุกรุนต่อเนื่อง การครองตลาดท้องถิ่นของแบงก์จีน และการ IPO ของบริษัทจีนที่สะดุดจากนโยบายของประธานาธิบดีสีจิ้นผิ้ง
แบงก์ใหญ่เริ่มลดแผนขยายธุรกิจและเป้ากำไรในจีนแล้ว
Goldman Sachs Group และ Morgan Stanley เป็นหนึ่งในธนาคารที่ ‘ปรับลด’ แผนการขยายธุรกิจและเป้าหมายผลกำไรในจีน ท่ามกลางบรรยากาศทางการเมืองที่ทวีความรุนแรงขึ้น และปณิธานของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงที่ยกประเด็นเรื่องความมั่นคง (Security) มาเป็นความสำคัญอันดับหนึ่ง ถึงขั้นยอมเสียสละการเติบโตทางเศรษฐกิจได้
โดย Goldman Sachs ได้ปรับประมาณการในแผน 5 ปีลง หลังจากสภาพแวดล้อมทางธุรกิจในจีนเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ขณะที่ Morgan Stanley ก็เลือกที่จะไม่ตั้งบริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในประเทศจีน (Onshore Brokerage) ในตอนนี้
นอกจากนี้ Morgan Stanley ยังปรับเป้าหมายในธุรกิจอนุพันธ์และฟิวเจอร์สลงเล็กน้อยเหลือที่ประมาณ 150 ล้านดอลลาร์ พร้อมทั้งวางแผนลดตำแหน่งงานลงอีกรอบ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตำแหน่งงานในธุรกิจวาณิชธนกิจคิดเป็น 7% ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ตามข้อมูลจากแหล่งข่าว
การเคลื่อนไหวดังกล่าวยังคล้ายคลึงกับ JPMorgan Chase & Co. และบริษัทคู่แข่งรายอื่นๆ ที่พากันลดจำนวนพนักงานในจีนตั้งแต่เมื่อต้นปี สะท้อนว่าขณะนี้ธนาคารรายใหญ่ต่างๆ ใน Wall Street เริ่มตระหนักแล้วว่าพวกเขาจำเป็นต้องคิดใหม่ เนื่องจากบรรยากาศทางธุรกิจในจีนอ่อนแอลงอย่างมาก และโอกาสที่ดีที่สุดในการทำกำไรสิ้นสุดลงไปแล้ว ผู้บริหารระดับสูงรายหนึ่งกล่าว
สอดคล้องกับ Mark Williams ศาสตราจารย์ด้านการเงินจากมหาวิทยาลัยบอสตันที่กล่าวว่า “แคลคูลัสที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ ทำให้ต้นทุนการทำธุรกิจในจีนสูงขึ้น และผลตอบแทนลดลงมาก และธนาคารระดับโลกเหล่านี้มีความเสี่ยงจากมาตรการทางการเมืองของจีน”
ขณะที่ธนาคารหลายแห่งกำลังปรับลดตำแหน่งงานทั่วโลกรวมถึงในจีน ซึ่งนับเป็นครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี เศรษฐกิจจีนก็กำลังดิ้นรนฟื้นตัวอีกครั้ง หลังจากทางการจีนบังคับใช้มาตรการควบคุมการระบาดของไวรัสโควิดในจีน และการปราบปรามหลายภาคส่วน ตั้งแต่เทคโนโลยีทางการเงิน ไปจนถึงการศึกษาและอสังหาริมทรัพย์
แบงก์จีนครองตลาดในประเทศไว้หมดแล้ว
อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้บรรดาธนาคารจาก Wall Street เริ่มท้อคือ ผู้เล่นในตลาดที่เป็นหน่วยงานรัฐบาลจีนแข็งแกร่งอย่างมาก ทำให้บริษัทระดับโลกยากที่จะแข่งขันได้
Dick Bove นักวิเคราะห์ธนาคารและหัวหน้านักยุทธศาสตร์การเงินที่ Odeon Capital Group ในนิวยอร์กกล่าวว่า “ธนาคารจีนครองตลาดไว้หมดแล้ว” พร้อมเสริมว่าขณะนี้บริษัทในจีนต้องการผู้เชี่ยวชาญจากสหรัฐอเมริกาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
โดยตามการคำนวณของ Bloomberg ยังพบว่า มูลค่าการลงทุนของ JPMorgan, Citigroup, Bank of America Corp. และ Morgan Stanley ในจีนรวมกันอยู่ที่ 4.8 หมื่นล้านดอลลาร์ในสิ้นปี 2022 ลดลง 16% จากปี 2021
ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นอุปสรรคสำคัญ
ท่ามกลางฉากหลังภูมิรัฐศาสตร์ที่แตกร้าวมากขึ้น หมายความว่าบริษัทจาก Wall Street ต้องสร้างความสมดุลมากขึ้นเรื่อยๆ โดยผู้บริหารจากธนาคารใน Wall Street หลายคนกล่าวว่า เป็นการยากที่จะรักษาสถานะที่ดีกับทั้งสองประเทศ ขณะที่ความตึงเครียดปะทุขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งอาจรุนแรงขึ้นเมื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใกล้เข้ามา นโยบายต่อจีนก็มีแนวโน้มที่จะเป็นหัวข้อหลักในการเลือกตั้ง
Chen Zhiwu ศาสตราจารย์ด้านการเงินจาก University of Hong Kong Business School กล่าวว่า “ธนาคารใน Wall Street ควรคำนึงถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์มานานแล้ว โดยในอีก 5 ปีข้างหน้า สถานการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาคือจีนกลับทิศ และกลับไปใช้นโยบายแบบเปิดประตูที่แท้จริง รวมถึงปฏิรูปตลาด ซึ่งเป็นการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ แต่นี่เป็นสถานการณ์ที่ไม่น่าเป็นไปได้อย่างยิ่ง แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
การพาบริษัทจีน IPO ในสหรัฐฯ มีแต่อุปสรรค
บริษัทใน Wall Street กำลังเผชิญกับกระแสลมแรงในหลายด้าน เนื่องจากตัวขับเคลื่อนรายได้ที่ใหญ่ที่สุดในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา นั่นคือการพาบริษัทจีนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ล้วนแต่แห้งเหือดไป
หลังประธานาธิบดีสีจิ้นผิงได้ปรับกฎระเบียบการเข้าจดทะเบียนให้เข้มงวดมากขึ้น เพื่อให้บริษัทต่างๆ จดทะเบียนในประเทศ ขณะที่สหรัฐฯ ก็ปราบปรามบริษัทจีนเกี่ยวกับประเด็นเรื่องบัญชี ทำให้การเสนอขายหุ้น IPO หลายบริษัทถูกระงับ และทำให้หุ้นบางตัวขอเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- หุ้นจีน ติดปีก ท่ามกลางตลาดหุ้นทั่วโลกที่อึมครึมตามแนวโน้มเศรษฐกิจ
- จุดประทัดปลุก ‘หุ้นจีนปี 2023’ เปิดประเทศฟื้นเศรษฐกิจโลก
- Aberdeen-Credit Suisse ชู ‘หุ้นจีน’ เป็นคำตอบของตัวเลือกลงทุนในปีนี้
อ้างอิง: