Nike มั่นใจยอดขายสินค้าปี 2023 จะเพิ่มขึ้น 9% รับแรงหนุนจากรองเท้ารุ่น Jordan ที่ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม ก่อนชี้ว่าลูกค้าขาประจำของร้านคือนักช้อปชาย Gen X ที่มีรายได้มากกว่า 80,000 ดอลลาร์ต่อปี หรือ 2.6 ล้านบาท แต่กลับใช้จ่ายเฉลี่ยต่อบิล 2,962 บาท
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า Nike นับเป็นบริษัทผลิตชุดกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งปัจจุบันมีพนักงานมากกว่า 79,000 คน และยังเป็นแบรนด์ที่พัฒนาโปรดักต์ใหม่ๆ ออกมาสู่ตลาดอยู่อย่างต่อเนื่อง จนทำให้มีฐานลูกค้าประจำอย่างเหนียวแน่น
โดยเฉพาะยอดขายสินค้าในปี 2023 บริษัทคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 9% ซึ่งได้แรงหนุนมาจากรองเท้ารุ่น Jordan ที่มีกระแสตอบรับอย่างล้นหลาม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ซีอีโอ Nike เชื่อมั่น ‘ตลาดจีน’ ยังแข็งแกร่ง แม้โควิดฉุดรายได้ลดลง แต่ยังเป็นแบรนด์ยอดนิยมของ Gen Z
- เมื่อสาวกสนีกเกอร์เรียกร้อง! Nike จ่อเติมสต๊อก ‘Air Jordan 1’ รุ่นยอดนิยมของ ไมเคิล จอร์แดน
- 7 รองเท้า Air Jordan Retro น่าสะสม
ยิ่งไปกว่านั้น จากข้อมูลของ Numerator แสดงให้เห็นว่าลูกค้าที่เข้ามาซื้อของในร้านส่วนใหญ่เป็นผู้ชายผิวขาว Gen X ที่มีรายได้มากกว่า 80,000 ดอลลาร์ต่อปี แต่ใช้จ่ายโดยเฉลี่ยประมาณ 87.88 ดอลลาร์สหรัฐ (2,962 บาท) โดยจะเลือกซื้อรองเท้าผ้าใบจนเพิ่มสัดส่วนรายได้ของรองเท้าผ้าใบได้กว่า 50%
ถึงกระนั้น Nike ระบุว่า บริษัทตั้งเป้าเจาะลูกค้าทุกกลุ่ม แต่จะเน้นกลุ่มอายุ 25-34 ปี เป็นพิเศษ เพราะปัจจุบัน Gen Y เป็นลูกค้าประจำของ Nike มากเป็นอันดับ 2 รองจาก Gen X ประมาณ 30%
ทั้งนี้ ปัจจุบันสัดส่วนยอดขายกลุ่มรองเท้าคิดเป็น 2.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้รวมบริษัท โดยสิ้นสุดปีงบประมาณ 2022 ร้านค้าของ Nike ทั้งหมด 344 แห่ง และโรงงาน 209 แห่ง ซึ่งมีจำนวนลูกค้าเข้าร้านเฉลี่ย 3 ครั้งต่อปี
อย่างไรก็ตาม ในปีงบประมาณ 2022 สิ้นสุดวันที่ 31 พฤษภาคม Nike มีรายได้ 46,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยตลาดอเมริกาเหนือคิดเป็น 41% ของยอดขายรวม และเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง adidas สร้างยอดขายในสาขาทั่วโลกได้ประมาณ 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2022
เรียกได้ว่า adidas ยังเป็นรอง Nike ในแง่ของยอดขายต่อปี แม้กลยุทธ์การทำตลาดจะคล้ายๆ กัน และแน่นอนว่าทำให้ทั้งสองแบรนด์ถูกเปรียบเทียบกันอยู่เสมอ
อ้างอิง: