ตลาดหลักทรัพย์ฯ คิดใหญ่ ‘เพื่อคนตัวเล็ก’ เปิดโอกาสสร้างเวลท์ด้วย DRx

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในปี 2566 กำลังจะก้าวสู่ปีที่ 49 มุ่งมั่นเป็นกลไกที่ช่วยส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจและการเข้าถึงตลาดทุน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตลาดทุน ขับเคลื่อนความยั่งยืนเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศและสังคมไทย

บทบาทที่สำคัญอีกด้านของตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ใช่แค่แหล่งระดมทุนของภาคธุรกิจเท่านั้น แต่เป็นแหล่งออมเงินหรือแหล่งลงทุนสำหรับคนทั่วไป ให้มีโอกาสใช้เงินทำงานเพื่อสร้างดอกผล ถึงวันนี้มีพัฒนาการของผลิตภัณฑ์ลงทุนให้เลือกอย่างหลากหลายตอบโจทย์ความต้องการทางการเงินได้แบบตรงจุดของแต่ละบุคคล

บุคคลที่จะมาช่วยฉายภาพรวมให้เห็นถึงพัฒนาการของนักลงทุนยุคปัจจุบันให้ชัดเจนขึ้น คือ ดร.รินใจ ชาครพิพัฒน์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อธิบายว่า ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯ มีจำนวนผู้ลงทุนรวมกว่า 2.3 ล้านราย แต่หากนับเป็นจำนวนบัญชีที่เปิดซื้อขายจะอยู่ที่กว่า 5.9 ล้านบัญชี ซึ่งมีคนหลากหลายเจเนอเรชันเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ

เมื่อเจาะลึกลงไปอีกพบว่าจำนวนผู้ลงทุนที่เข้ามาเปิดบัญชีใหม่จะเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Y อายุระหว่าง 25-40 ปี มากที่สุดอยู่ที่สัดส่วนกว่า 50% ส่วน Gen Z เริ่มมีการเข้ามาเปิดบัญชีซึ่งเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อดูด้านมูลค่าการซื้อขายแยกตามเจเนอเรชัน Gen Y ยังมีมูลค่าการซื้อขายน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับ Gen X กับกลุ่มคน Baby Boomer

แผนในการขยายฐานผู้ลงทุนในอนาคตของตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมุ่งเน้นกลุ่มคนที่ไม่ต้องมีรายได้สูง โดยจากฐานตัวเลขจำนวนประชากรของประเทศไทยที่มีรวมกว่า 70 ล้านคน มี Potential Target คือกลุ่มคนที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป ซึ่งมีจำนวนรวมกว่า 30 ล้านคน ส่วนใหญ่ไม่ได้มีเงินออมจำนวนมาก

พัฒนาการสำคัญที่เห็นได้ชัดเจนของผู้ลงทุนคือ เจเนอเรชันของผู้ลงทุนที่เปลี่ยนแปลงจากอดีต เพราะเมื่อดูข้อมูลจำนวนการเปิดบัญชีซื้อขายย้อนหลังระหว่างปี 2562-2564 เป็นช่วงคาบเกี่ยวที่มีโควิดเป็นปัจจัยที่เข้ามากระตุ้น มีจำนวนผู้ลงทุนใหม่ๆ เข้ามาในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มขึ้น ขณะที่พฤติกรรมของผู้ลงทุนก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย เพราะในช่วงการระบาดที่ผ่านมาทำให้คนต้องทำงานอยู่บ้านมากขึ้น ใช้ระบบออนไลน์ในการหาข้อมูลการลงทุนมากขึ้นในทุก Gen จึงพบว่ามีจำนวนการเปิดบัญชีซื้อขายใหม่เติบโตขึ้นจากช่วงก่อนหน้านี้ ที่ปกติจะมีจำนวนการเปิดกว่า 1 แสนบัญชีต่อปี

ดร.รินใจให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันผู้ลงทุนรุ่นใหม่ไม่ได้มองแค่โอกาสลงทุนในประเทศ แต่มองไปถึงการลงทุนในต่างประเทศด้วย เปลี่ยนแปลงจากผู้ลงทุนในอดีตที่เน้นลงทุนเฉพาะในตลาดหุ้นไทยเป็นสำคัญ เนื่องจากได้มีการเรียนรู้หลักการกระจายความเสี่ยงการลงทุน ในการสร้างพอร์ตควรมีสินทรัพย์ทางเลือก รวมถึงมีการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งจะเห็นได้ว่าใน 2-3 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นจีนกับหุ้นเทคโนโลยีสามารถสร้างผลตอบแทนกลับมาได้สูง

ช่วงที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ทำ Online Survey กับผู้ลงทุนทุก Gen เพื่อสำรวจเรื่องการลงทุนในต่างประเทศ พบความต้องการสำคัญดังนี้

มีความต้องการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยการลงทุนในต่างประเทศต้องการให้มีความง่าย สามารถใช้แพลตฟอร์มที่ซื้อขายหุ้นไทยอยู่แล้ว ใช้ลงทุนในต่างประเทศได้ด้วย
ต้องการใช้เงินลงทุนที่น้อยในลักษณะทยอยลงทุน โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen ที่มีเงินลงทุนน้อย
ต้องการซื้อขายหุ้นในเวลาเดียวกันกับตลาดหุ้นต่างประเทศที่หุ้นนั้นซื้อขาย เช่น ซื้อขายหุ้นสหรัฐฯ ในเวลาที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เปิดซื้อขาย เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบราคาได้
มีผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ตอบโจทย์และเข้าถึงได้ง่าย

“วิธีคิดในการทำการตลาดวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว การที่จะให้คนเข้ามาใช้โปรดักต์ในตลาดทุนเราต้องวิ่งออกไปหาผู้ลงทุน ไม่ใช่ให้ผู้ลงทุนวิ่งมาหาเรา เป็นไปตามพฤติกรรมผู้ลงทุนที่ต่างออกไปตามยุคสมัย ตามเทคโนโลยี แล้วตลาดหลักทรัพย์ฯ จะตอบสนองอย่างไรให้เข้าถึงคนได้กว้างและง่ายขึ้น เป็นที่มาว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำอย่างไรให้พัฒนาโปรดักต์ได้ตอบโจทย์ของคนตัวเล็ก”

สำหรับพัฒนาการในการตอบโจทย์การลงทุนของคน ‘ตัวเล็ก’ จุดเริ่มต้นแรกๆ คือ การเซอร์วิส DCA (Dollar-Cost Averaging) ที่ทำมาเป็นเวลา 6-7 ปีแล้ว เป็นการลงทุน ‘สม่ำเสมอ’ ด้วยเงินลงทุนจำนวนเท่าๆ กันในแต่ละงวดด้วยเงินจำนวนน้อย ทั้งในหุ้นหรือกองทุน

ขณะที่ต่อมาเริ่มทยอยออกผลิตภัณฑ์ลงทุนที่ตอบโจทย์คนตัวเล็กที่ต้องการลงทุนในต่างประเทศที่เข้าถึงง่าย ลงทุนด้วยเงินจำนวนที่ไม่มาก ได้แก่ ETF (Exchange Traded Fund), DR (Depositary Receipt) ล่าสุดช่วงปลายปี 2565 เพิ่งเปิดตัว DRx (Fractional Depositary Receipt)

DRx โอกาสใหม่ของ ‘คนตัวเล็ก’

ที่มาของ DRx ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ลงทุนล่าสุดที่เปิดตัวในเดือนกันยายน 2565 แน่นอนว่าเพื่อตอบโจทย์ความต้องการทุกข้อจากผลสำรวจที่ทำกับผู้ลงทุนทุก Gen โดย DRx 2 ตัวแรก ได้แก่ AAPL80X หรือตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศของบริษัท APPLE และ TSLA80X หรือตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศของบริษัท TESLA โดยจะซื้อขายตามเวลาซื้อขายของตลาดหุ้น Nasdaq สหรัฐอเมริกา ผู้ลงทุนสามารถทำการซื้อขายได้แบบง่ายๆ บนแอปพลิเคชัน Streaming ได้ตั้งแต่เวลา 20.00-04.00 น.

โดยไม่ได้มีข้อจำกัดเงินลงทุนขั้นต่ำ อีกทั้งสามารถเลือกส่งคำสั่งซื้อได้แบบจำนวนหน่วย DRx ที่ต้องการ เช่น ซื้อเพียง 0.0001 หน่วย DRx ก็ทำได้ หรือเลือกจำนวนเงินที่จะใช้ซื้อแล้วระบบจะช่วยคำนวณจับคู่ให้เอง

อีกจุดที่ DRx มีความแตกต่างจาก DR เพราะถูกกำหนดให้ซื้อขายด้วยบัญชีแคชบาลานซ์ คือมีเงินเท่าไรก็ซื้อหน่วย DRx ได้เท่านั้น จึงเป็นการแก้ Pain Point ของผู้ลงทุนคนรุ่นใหม่ โดยมุ่งเน้นให้เหมาะกับกลุ่ม ‘คนตัวเล็ก’ ในส่วนเงินลงทุนขั้นต่ำที่เหมาะสม ควรเริ่มตั้งแต่ 500-1,000 บาท เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีและคุ้มค่าธรรมเนียมการซื้อขาย

อีกทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างปรับแก้กฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการออก DRx ให้ง่ายขึ้น ซึ่งจะช่วยให้มีจำนวน DRx มีเพิ่มมากขึ้นในอนาคต โดยทำงานร่วมกับผู้ออก DRx คาดว่าจะเสร็จในปี 2566 นี้

เปิดเทรนด์ DRx

เทรนด์ของ DRx ที่จะออกของผู้ออกจะถูกอ้างอิงบนหุ้นในต่างประเทศที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวจากธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตที่สูง หรือจะเป็น ‘หุ้นในดวงใจ’ ที่นักลงทุนทั่วไปอยากเป็นเจ้าของ ส่วนผลสำรวจในฝั่งผู้ออกคือ โบรกเกอร์ พบว่ามีความสนใจนำหุ้นเพื่อใช้อ้างอิงออก DRx จากตลาดหุ้นสหรัฐ, จีน, ฮ่องกง และเอเชียเหนือ หรือเป็นหุ้นที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป โดยเป้าระยะยาว DRx คือการเพิ่มจำนวนให้มากขึ้นในอนาคต ส่วนความนิยมก็ทยอยดีขึ้นเรื่อยๆ แม้เปิดตัวได้เพียงไม่นาน

DRx เครื่องมือตอบโจทย์สู่ Sustainable Investment

หลักการสำคัญของ Sustainable Investment คือ Inclusiveness หรือไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งการออมหรือการสร้างความมั่งคั่งให้เข้าถึงแบบถ้วนหน้าจึงเป็นสิ่งจำเป็น ดังนั้นงานสำคัญของตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงต้องการให้คนที่มีรายได้น้อยได้มีโอกาสเริ่มต้นออมหรือลงทุนด้วยบริการหรือผลิตภัณฑ์ลงทุนที่ออกแบบมาเพื่อให้ ‘คนตัวเล็ก’ มีโอกาสเข้าถึงการลงทุน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง