วันนี้ (12 เมษายน) ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ภายหลังการสอบปากคำ จ.ส.ท. เขมรัฐ บุญช่วย ทหารสังกัดกรมการขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.) ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาฐานกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คอมพิวเตอร์ฯ และ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฯ ซึ่งเป็นแฮกเกอร์ที่ใช้ชื่อบัญชีว่า ‘9near’ โพสต์ขายข้อมูลคนไทย 55 ล้านรายการ
ระหว่างเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวเพื่อไปทำการฝากขัง จ.ส.ท. เขมรัฐ ได้ระบุว่า กราบขอโทษคนไทยทั้งประเทศ หลังจากที่นำข้อมูลส่วนบุคคลไปเผยแพร่ทางโซเชียลจนเกิดความตระหนก ขอโทษมา ณ ที่นี้ พร้อมยืนยันว่าข้อมูลทั้งหมดยังไม่ถูกนำไปจำหน่าย ส่วนเหตุผลของการกระทำครั้งนี้จะให้การกับพนักงานสอบสวนเท่านั้น
หลังจากการสอบปากคำพนักงานสอบสวนและทหารพระธรรมนูญได้นำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังที่ศาลทหาร โดยท้ายคำร้องคัดด้านการประกันตัวเนื่องจากเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี โดยมีระยะเวลาฝากขังผัดแรกตั้งแต่วันที่ 12-23 เมษายน รวมระยะเวลา 12 วัน
ด้าน พล.ต.ท. วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) กล่าวว่า จากการสอบปากคำ จ.ส.ท. เขมรัฐ ให้การรับสารภาพ รวมทั้งพยานหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ได้มานั้นมีความสอดคล้องกับคำให้การ
จ.ส.ท. เขมรัฐ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ มีความรู้ในด้านไอทีและมีความสนใจในเว็บไซต์ที่แฮกเกอร์นิยมใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนข้อมูลผิดกฎหมาย จ.ส.ท. เขมรัฐ เคยเข้าไปตรวจสอบในเว็บไซต์ดังกล่าวและพบว่ามีข้อมูลของตนเองอยู่จึงได้ติดต่อขอซื้อข้อมูลส่วนตัวคนไทยรายอื่นๆ เพิ่มจากเว็บไซต์ดังกล่าว จำนวน 8,000,000 Record เป็นเงิน 8,000 บาท
จากนั้นได้นำรายชื่อส่วนหนึ่งโพสต์ขึ้นโซเชียลมีเดีย แต่ยังไม่ได้รับความสนใจ จึงได้นำข้อมูลส่วนตัวของคนมีชื่อเสียงโพสต์ลงในโซเชียลมีเดียและส่งข้อความไปหาเจ้าของข้อมูลจนเกิดเป็นกระแสขึ้นมา
พล.ต.ท. วรวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า จ.ส.ท. เขมรัฐ ให้การว่าเมื่อสิ่งที่ทำเป็นกระแสดัง รู้สึกตกใจจึงหลบหนีไปยังสถานที่ต่างๆ ส่วนพื้นที่ก่อเหตุนั้นยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ ซึ่งขณะนี้ได้นำตัวผู้ต้องหาไปตรวจค้นยังบริเวณบ้านพักและสถานที่อื่นๆ ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อหาอุปกรณ์ที่ใช้ในการกระทำความผิดแล้ว
“ผู้ต้องหายืนยันว่าเป็นการซื้อข้อมูลไม่ใช่การแฮ็กข้อมูล ซึ่งข้อมูลบางส่วนได้ถูกทำลายไปแล้ว และยังไม่ได้นำข้อมูลดังกล่าวไปจำหน่ายแต่อย่างใด ทั้งยังยืนยันว่าข้อมูลส่วนบุคคลของคนไทยที่หลุดไป 55 รายชื่อนั้นไม่เป็นความจริง ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบจำนวนข้อมูลที่รั่วไหลที่แท้จริง ขณะเดียวกันผู้ต้องหายืนยันว่าเป็นการกระทำเพียงคนเดียว และจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่าภรรยาของผู้ต้องหาเป็นพยาบาล มีหน้าที่ดูแลคนไข้ ไม่เกี่ยวข้องกับการดูแลระบบหรือข้อมูลอื่นๆ” พล.ต.ท. วรวัฒน์กล่าว