วันนี้ (3 มีนาคม) เศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย กล่าวภายหลังการพบปะ หารือ แลกเปลี่ยนกับสมาคมไทย-จีนว่า การค้าขายกับจีนเป็นเหมือนหุ้นส่วนทางการค้า วันนี้หารือกันหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการคมนาคม เรื่องการขนส่งเชื่อมต่อระหว่างไทย-จีนผ่าน สปป.ลาว ซึ่งทางนายกสมาคมได้ให้ข้อคิดไว้ดี ถ้าจะทำให้ทำเรื่องที่ง่ายก่อน
เศรษฐากล่าวต่อว่า ส่วนการทำธุรกิจในไทยนั้นค่อนข้างลำบาก ในวันนี้มาแลกเปลี่ยนเงินจริง ไม่ใช่มานั่งคุยกันเฉยๆ และจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย หลังจากนี้ก็จะมีการหารือกันอีกครั้งในวงย่อย โดยเฉพาะหากพรรคเพื่อไทยมีโอกาสบริหารประเทศ จะมีวิธีการทำงานที่ใหม่ โดยเฉพาะการค้าระหว่างประเทศ ระหว่างไทยกับจีนให้ดียิ่งขึ้น
เศรษฐายังกล่าวถึงการให้สัมภาษณ์ถึงการรับตำแหน่งเดียว คือตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเท่านั้นว่า ช่วงการตอบคำถามวานนี้ (2 มีนาคม) มีความสับสนเลยพูดออกไปแบบนั้น แต่ ณ วันนี้เป็นประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และต้องได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค เพื่อเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง ซึ่งพรรคเพื่อไทยชัดเจนว่าจะส่งสามคนแน่นอน จากนั้นคณะกรรมการบริหารจะต้องไปคัดเลือกว่าใครจะได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งนี้
เศรษฐากล่าวอีกว่า แต่ส่วนตัววันนี้มาทำงานช่วย แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย แต่หากไม่ใช่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ไม่ขอรับ ซึ่งก็จะคอยช่วยอยู่เบื้องหลัง และเป็นประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยต่อไปได้ และขณะนี้ก็เป็นสมาชิกของพรรคเพื่อไทยอยู่ ที่จะให้คำแนะนำ รวมถึงเป็นที่ปรึกษาของทีมเศรษฐกิจ หรือสุดท้ายแล้วจะทำงานแต่ไม่มีตำแหน่งก็ทำได้ โดยไม่ได้บอกว่าจะต้องดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเท่านั้น และในฐานะคนไทยคนหนึ่งก็สามารถทำประโยชน์ให้บ้านเมือง แต่ถ้าหากต้องมีตำแหน่ง หรือจะไปขับเคลื่อนอะไรสำคัญจริงๆ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจ ก็จะทำได้จริงทุกนโยบาย
“ผมจะเป็นประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยก็ได้ เป็นที่ปรึกษาที่ไม่ต้องมีตำแหน่งอย่างเป็นทางการกับใครในพรรคเพื่อไทย ก็ยังทำงานต่อไปได้ และผมก็ยังเป็นสมาชิกพรรคอยู่ ไม่อยากทำให้เข้าใจผิดว่าอยากมีอำนาจทางการเมือง จะกลับไปเป็นเศรษฐาที่แสนสิริก็ไม่มีปัญหา”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การประกาศตัวแบบนี้เป็นการกดดันพรรคเพื่อไทยหรือไม่ เศรษฐายืนยันว่า ที่พูดมาทั้งหมดไม่ได้กดดันพรรคเพื่อไทย เพราะรู้จักกันมานาน รู้จักตัวตนกันเป็นอย่างดี และเรื่องจะกดดันหรือจะไปอ้อมค้อมไม่มีแน่นอน เพราะไม่ใช่นิสัยส่วนตัวของตน และผู้บริหารพรรคตั้งแต่ยุคเก่าก็รู้ดีว่าตนนั้นเป็นคนอย่างไร ดังนั้นเรื่องนี้ไม่มีแน่ และยังย้ำว่าไม่ได้ถูกชวนมาทำงานในพรรคเพื่อไทยเพียงแค่ตำแหน่งเดียว แต่เพราะเป็น อุ๊งอิ๊ง เป็นคนมาชวน มาเป็นที่ปรึกษาด้วยความเต็มใจ และรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ทำหน้าที่นี้