ปล่อยมาได้สักระยะหนึ่งแล้วสำหรับเพลง 2565 ซิงเกิลลำดับที่ 5 ของวงไอดอลสาวแดนเหนือ CGM48 ผลงานเพลงออริจินัลซองชิ้นที่ 2 ต่อจากเพลง มะลิ (ซิงเกิลลำดับที่ 3)
โดยเพลง 2565 นี้ไม่ใช่ชื่อปี พ.ศ. อย่างที่หลายคนอาจตีความทันทีตั้งแรกเห็น หากแต่เป็นการเปรียบถึงความสูงของดอยอินทนนท์ที่มีความสูงถึง 2,565.3341 เมตร ซึ่งเนื้อร้อง ดนตรี รวมไปถึงมิวสิกวิดีโอของเพลงนี้ที่ได้แฝงเอกลักษณ์และกลิ่นอายความเป็นวัฒนธรรมล้านนาไว้อย่างน่าสนใจและน่าค้นหาเมื่อได้เปิดฟังเพลงนี้
และเป็นอีกครั้งที่ THE STANDARD POP ได้มีโอกาสพบปะกับ 6 สาว มามิ้งค์-มาณิฌา เอี่ยมดิลกวงศ์ (เซ็นเตอร์), รินะ อิซึตะ, ออม-ปุณยวีร์ จึงเจริญ, แองเจิ้ล-นภัสนันท์ ธรรมบัวชา, พั้นซ์-วัชรี ด่านผาสุกกุล และ จิงจิง-อรัญญา แก้วมาลัย ตัวแทนเซ็มบัตสึจากเพลง 2565 ที่แวะเวียนมาสวัสดีปีใหม่ พร้อมพูดคุยถึงที่มาที่ไปของบทเพลงนี้ ไปจนถึงเรื่องราวการเดินทาง ความฝัน และจุดสูงสุดที่พวกเธอฝันอยากให้ CGM48 ไปให้ถึงสักครั้ง
ความเป็นมาเป็นไปของเพลง 2565
มามิ้งค์: สำหรับเพลง 2565 ใครที่ได้ยินอาจจะคิดว่าเป็นเพลงเกี่ยวกับปี พ.ศ. หรือเปล่า แต่จริงๆ แล้วมีความหมายแฝงก็คือเป็นความสูงของยอดดอยอินทนนท์ เป็นยอดดอยที่มีความสูงที่สุดในประเทศไทย อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ คอนเซปต์เพลงก็คืออยากเล่าเรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติ ก็ได้มีการหยิบยกภูเขาขึ้นมา เพราะเวลาพูดถึงเชียงใหม่ก็จะพูดถึงยอดดอย ภูเขา ก็เลยมีการนำมาเรียงร้อยเล่าเรื่องเป็นเพลงนี้ค่ะ
และเนื่องในโอกาสพิเศษที่การสัมภาษณ์ครั้งนี้มี รินะ อิซึตะ (อิซึรินะ) ชิไฮนินและเมมเบอร์ของ CGM48 เราจึงถือโอกาสถามไถ่ถึงความเป็นมาเป็นไปว่าเหตุใดซิงเกิลที่ 5 จึงเป็นเพลงออริจินัลซอง ไม่ใช่เพลงจาก 48 Group อย่างที่เคยเป็น
อิซึรินะ: เดิมทีเราก็มีดูเพลงของ AKB48 จากญี่ปุ่นเหมือนกัน แต่ทางผู้ใหญ่บอกแล้วว่าเพลงซิงเกิลที่ 5 ของ CGM48 จะเป็นเพลงออริจินัลซอง ซึ่งรินะก็ตกใจว่าจะเป็นออริจินัลซองอีกแล้วหรือ เพราะตอนซิงเกิลที่ 3 เพลง มะลิ ก็เป็นออริจินัลซองเหมือนกัน แล้วตอนนั้นก็ได้เข้าร่วมโปรดิวซ์เพลงด้วย แล้วมันเป็นการทำเพลงที่ยากมากๆ ก็เลยคิดไว้ว่าตอนเพลง มะลิ น่าจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่จะโปรดิวซ์เพลงออริจินัลและก็ไม่คิดว่า CGM48 จะมีออริจินัลซองเร็วๆ นี้
แต่พอผู้ใหญ่บอกว่าเพลงซิงเกิลนี้จะเป็นออริจินัลอีกก็รู้สึกกดดัน แล้วก็ตื่นเต้นมากๆ ว่าเราจะทำได้ดีเทียบเท่ากับ มะลิ อีกได้ไหม ก็เลยกลายเป็นการทำงานเพลงที่มีความกดดันสูงมากๆ กับเพลงนี้
อีกอย่างคือความยากของเพลงนี้ที่ต่างจากเพลง มะลิ คือวันที่เลือกให้มีออริจินัลซองตัวเพลงยังไม่ได้ถูกแต่ง ยังไม่มีเมโลดี ไม่มีคอนเซปต์และเนื้อหาอะไรเลย ก็เลยมีการคิดกันว่าซิงเกิลที่ 5 จะเป็นการเล่าเรื่องของธรรมชาติของความเป็น CGM48 ที่แสดงออกถึงความน่ารักสดใส และคำว่า ‘ธรรมชาติ’ มันไม่ได้แสดงออกถึงแค่พวกเราเมมเบอร์ แต่ยังหมายถึงธรรมชาติในพื้นที่ที่พวกเราอาศัยอยู่ ก็เลยคิดว่าในเพลงจะมีการเล่าเรื่องเกี่ยวกับภูเขาหรือธรรมชาติต่างๆ ในเชียงใหม่ได้ไหม
ทางครูเอ๊ะ (เอ๊ะ-พงศ์จักร พิษฐานพร) ก็เลยโยนไอเดียเกี่ยวกับยอดดอยอินทนนท์ที่มีความสูงที่สุดในประเทศไทย ซึ่งรินะก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่ายอดดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทยอยู่ที่เชียงใหม่ มันก็เลยไปกระตุ้นความสนใจของรินะ แล้วประจวบเหมาะกับที่ตัวเลขของระดับความสูงของยอดดอยอยู่ที่ 2,565 เมตร ก็เลยมองว่ามันมีความหมายที่พิเศษสำหรับทุกคน แล้วก็เหมาะกับการส่งมอบเพลงนี้ที่มีทั้งเนื้อหาที่ดี บวกกับมิวสิกวิดีโอที่ถ่ายทอดความน่ารักสดใสของเมมเบอร์ ไปจนถึงธรรมชาติที่เราตระเวนถ่ายทำและเก็บบรรยากาศดีๆ มาใส่ในมิวสิกวิดีโอให้ทุกคนได้รับชมกัน และความพิเศษอีกอย่างคือมันสอดคล้องกับเลขปีที่พวกเราทำเพลงนี้ก็คือ พ.ศ. 2565 พอดีด้วย ก็เลยได้มาเป็นชื่อเพลง 2565 พอดี
สำรวจความรู้สึกหลังจากได้ฟังเพลง 2565 ครั้งแรก
ออม: ต้องบอกว่ามันเป็นเพลงที่มีความธรรมชาติสูงมาก แล้วเป็นเพลงที่ใช้เครื่องดนตรีพื้นบ้านเยอะมาก มันพิเศษตรงที่เป็นเครื่องดนตรีที่ไม่ได้ปรุงแต่ง เป็นเครื่องดนตรีที่มาจากธรรมชาติ มาจากเสียงของธรรมชาติจริงๆ ส่วนตัวเลยรู้สึกว่าเพลงนี้มันมีความพิเศษต่างจากเพลงอื่นมากๆ และคิดว่าแฟนคลับที่ชอบความเป็นธรรมชาติของพวกเราอยู่แล้วน่าจะชอบเพลงนี้เหมือนกัน เพราะเพลงนี้มันยิ่งตอกย้ำความเป็นธรรมชาติของคนเรามากขึ้นไปอีก
จิงจิง: ตอนที่ได้ยินครั้งแรกรู้สึกเลยว่านี่คือเพลงที่ดีมากๆ เพราะนอกจากตัวเพลงที่มีเนื้อหาไพเราะมากๆ แล้ว ยังมีเสียงเพลงธรรมชาติที่กลมกล่อม ฟังแล้วรู้สึกหนาว เพราะตัวเพลงส่งความรู้สึกได้ดีมากๆ แล้วก็รู้สึกดีใจมากๆ ที่ได้ติดเซ็มบัตสึเพลงนี้ เพราะเป็นเพลงที่ดีมากๆ เลยค่ะ
พั้นซ์: ตอนฟังเพลงนี้ครั้งแรกก็รู้สึกได้ทันทีว่าแฟนคลับของเราจะต้องชอบเพลงนี้มากแน่ๆ เลย และส่วนตัวก็ไม่คิดว่าจะมีภาษาเหนือในเพลงเยอะขนาดนี้ เพราะปกติเพลงของเราจะมีการสอดแทรกภาษาเหนือเข้าไปเป็นปกติอยู่แล้ว แต่กับ 2565 ก็คือเปิดประโยคแรกมาก็เจอเลย สำหรับพวกเรามันอาจจะยากสักนิดหนึ่ง แต่ก็เป็นอะไรที่ท้าทายมากๆ เลยค่ะ
แองเจิ้ล: สำหรับแองเจิ้ลก็รู้สึกคล้ายพั้นซ์เลย เปิดท่อนแรกของเพลงมาก็เริ่มด้วยเสียงสูงเลย น่ารักๆ เหมือนเสียงนกร้อง พอมาตั้งใจฟังดีๆ ถึงได้รู้ว่าเริ่มประโยคแรกก็คือภาษาเหนือเลย ส่วนตัวก็รู้สึกว่าการร้องเพลงออกเสียงภาษาเหนือเป็นอะไรที่ยากและท้าทายมาก ซึ่งตัวแองเจิ้ลก็คิดว่านี่แหละคือการเติบโตในอีกระดับของการร้องเพลงกับ CGM48
มามิ้งค์: ตอนที่ได้ฟังครั้งแรกมันได้เห็นภาพตัวเองเหมือนกำลังเดินขึ้นดอยอยู่จริงๆ เห็นภาพการเดินทาง เห็นการละเล่น วัฒนธรรมของชนชาติพันธุ์ที่อยู่บนดอย แล้วก็ได้ยินเสียงปี่น้ำเต้า ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร พอฟังแล้วก็รู้สึกดีต่อใจมากค่ะ เพราะว่าทำนองเพลงมันรื่นหู ฟังสบาย เนื้อเพลงมีพูดถึงธรรมชาติ มันเลยรู้สึกดี เพราะส่วนตัวเองก็ชอบธรรมชาติด้วย เลยเป็นเพลงที่ชอบมากๆ
ถามมามิ้งค์ กับบทบาท ‘เซ็นเตอร์’ รู้สึกยังไงบ้าง
มามิ้งค์: ตอนแรกที่รู้ว่าได้เป็นเซ็นเตอร์ก็ดีใจ แต่หลังจากนั้นคือรู้สึกกดดันมาก เริ่มมีความเครียด มีความกดดัน เพราะปกติเซ็มบัตสึจะเต้นอยู่ข้างๆ กับเพื่อนๆ แต่พอมาเป็นเซ็นเตอร์มันต้องยืนอยู่ข้างหน้าคนเดียว แบบไม่เห็นใครอยู่ด้านข้างๆ เลย แล้วหนูไม่ใช่คนที่มั่นใจในการเต้นขนาดนั้น พอต้องมารับตำแหน่งเซ็นเตอร์ที่เวลาหันซ้ายหันขวาไม่เจอเพื่อนแล้วก็รู้สึกว่าต้องใส่ความพยายามและซ้อมให้หนักขึ้นมากกว่าเดิม เพื่อให้เพลงของเราออกมาสมบูรณ์ที่สุด
จากใจชิไฮนิน… เพลงนี้ต้องได้ ‘มามิ้งค์’ เป็นเซ็นเตอร์
อิซึรินะ: คนที่เลือกมามิ้งค์มาเป็นเซ็นเตอร์เพลงนี้ก็เป็นตัวรินะเองกับผู้ใหญ่ด้วย ตอนเริ่มแรกที่ทำเพลงนี้และพอเริ่มมีคอนเซปต์พูดถึงเกี่ยวกับธรรมชาติ และมีเนื้อเพลงออกมาให้เห็นบ้างแล้ว คนแรกที่เรานึกถึงกันก็คือ ‘มามิ้งค์’ เพราะมามิ้งค์นอกจากจะเป็นคนที่รักในธรรมชาติ เขายังเป็นคนที่มีเสน่ห์แบบธรรมชาติและมีความเป็นอิสระสูงด้วย พอได้ฟังเนื้อเพลงกับเมโลดีเข้าด้วยกันก็ยิ่งรู้สึกว่าคนที่ต้องเป็นเซ็นเตอร์เพลงนี้ยังไงก็ต้องเป็นมามิ้งค์เท่านั้น
ท่อนไหนของเพลงที่ชอบและสะกดใจเรามากที่สุด?
จิงจิง: ชอบท่อน “อิสระที่ปลายฟ้านั้นรอเฮาอยู่” พอฟังท่อนนี้มันให้ความรู้สึกว่าถึงเราจะเหนื่อยหรือฝ่าฟันอะไรมามากมาย ก็ยังมีสิ่งดีๆ ที่รอเราอยู่ ที่มันจะทำให้เราหายเหนื่อยได้
ออม: จริงๆ ออมรู้สึกชอบทั้งเพลงเลยนะ แต่ถ้าให้เลือกสักท่อนออมชอบท่อนที่ได้ร้องเองว่า “ต้องสูงแค่ไหน ที่เท้าเราไปไม่ถึง ต้องยากแค่ไหน ที่ใจเราต้องยอม” มันเป็นท่อนที่เหมือนเป็นคำถามให้ตัวเองว่าเราจะต้องไปสูงแค่ไหนเหรอกว่าเราจะไปถึงเป้าหมายนั้น เราต้องใช้เวลาอีกนานไหม แล้วเราต้องยอมแพ้ระหว่างทางหรือเปล่า
ด้วยความที่หนูได้ร้องท่อนนี้ ได้ทำการบ้านกับเนื้อเพลงท่อนนี้ มันเลยทำให้หนูรู้สึกสนิทกับท่อนนี้ มันเลยมีความรู้สึกอินแล้วก็เข้าใจในประโยคนี้เป็นพิเศษ
อิซึรินะ: ชอบท่อนที่ร้องว่า “ฮื่อเพลงนี้จ้วยปาเฮาไปถึง” ให้ความรู้สึกว่าไม่ว่าอะไรก็ตามที่เป็นการเดินหน้าของวง ถ้าทำคนเดียว พยายามอยู่คนเดียว ความฝันหรือเป้าหมายที่เราตั้งไว้ก็จะไปไม่ถึง และเพลงนี้มันเป็นเพลงของทุกคน มันเป็นการตอกย้ำว่าพวกเราจะต้องเดินต่อไปด้วยกัน มันเป็นเพลงที่มีเสน่ห์ของความเป็น CGM48 สูงมาก ซึ่งการเดินทางของพวกเรามันไม่ใช่การเดินคนเดียว แต่จะเป็นการเดินที่มีเพื่อนอยู่เคียงข้างเสมอ แล้วก็เป็นท่อนปิดเพลงที่สวยงามมากๆ ด้วย
พั้นซ์: ชอบท่อนฮุกที่ร้องว่า “สู่ยอดเขาที่สูงที่สุดในดินแดนใด พวกเราร่วมกันฟันฝ่า จะปีนขึ้นไปและจะไม่มีอะไรที่สูงเกินไปกว่า ปล่อยวางมันไป กับเรื่องวุ่นวายในใจ โลกที่สวยงามรอฉันอยู่ข้างหน้า ฮื่อเพลงนี้จ้วยปาเฮาไปถึง”
ประมาณว่าถึงปลายทางของเราจะเป็นยอดเขาที่สูงมากๆ และอาจจะมีอุปสรรคระหว่างทาง แต่ถ้าพวกเราได้อยู่ด้วยกันและจับมือฝ่าฟันมันด้วยกัน ก็จะไม่มีอะไรที่พวกเราทำไม่ได้ เพื่อไปถึงปลายฟ้าที่สวยงาม
แองเจิ้ล: “จะปีนขึ้นไปและจะไม่มีอะไรที่สูงเกินไปกว่า” เพราะว่าชอบร้องเสียงสูง (หัวเราะ) จริงๆ เป็นท่อนที่สวยงามด้วย ความหมายดีด้วย ตรงที่บอกว่า “จะไม่มีอะไรที่สูงเกินไปกว่า” จะสื่อประมาณว่าไม่มีอะไรที่พวกเราทำไม่ได้ ขอแค่พวกเราจับมือไปด้วยกันก็ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ มันเป็นเหมือนการให้กำลังใจกันด้วย ก็เลยชอบท่อนนี้
มามิ้งค์: หนูชอบเหมือนพี่ออมเลยคือ จริงๆ ก็ชอบทั้งเพลงเลย เพราะเป็นเพลงที่ภาษาสวยมาก แต่ถ้าให้เลือกหนูขอหยิบยกท่อนที่ร้องว่า
“ปล่อยวางมันไป กับเรื่องวุ่นวายในใจ” หนูชอบคำว่าปล่อยวาง มันเหมือนเป็นการบอกกับตัวเองว่าบางอย่างเราไม่ต้องไปเครียดกับมันซะทุกอย่าง บางทีเราปล่อยมันออกไปบ้าง ปล่อยให้สายลมพัดพามันออกไป
ระหว่างที่คุยกันถึงเรื่องเพลงนั้น เราได้พบความพิเศษบางอย่างที่อยู่ในวงสนทนา นั่นก็คือการมาของสมาชิก CGM48 รุ่นที่ 2 ซึ่งก็คือ ‘จิงจิง’ หนึ่งในเมมเบอร์ที่มาเดินสายในครั้งนี้ เราจึงถือโอกาสได้ถามกัปตันและชิไฮนินว่า อะไรคือความพิเศษของการพารุ่น 2 เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในซิงเกิลที่ 5
ออม: จริงๆ หนูไม่ได้มีส่วนในการเลือกน้อง 2 คนเข้ามาติดเซ็มบัตสึ แต่ออมจะตอบในฐานะกัปตันที่มองดูน้องๆ ‘จิงจิง’ กับ ‘ลูกเกด’ เหมือนเป็นพี่คนโตของรุ่น 2 ที่เราเห็นตั้งแต่ตอนออดิชันแล้วว่า 2 คนนี้มีความเป็นพี่สาวคนโตที่มีความขยัน และมีความพัฒนาอย่างต่อเนื่องทั้งการร้องและการเต้น ก็มีความรู้สึกว่าทั้ง 2 คนมีความพร้อมและเหมาะสมที่จะได้รับโอกาสตรงนี้
อิซึรินะ: การมาของรุ่น 2 ทำให้รุ่น 1 รู้สึกมีความตื่นเต้น จากที่พยายามกันอยู่แล้วก็ต้องพยายามมากขึ้นกว่าเดิม การมาของน้องๆ รุ่น 2 ทำให้กระตุ้นเอเนอร์จี้บางอย่างในกลุ่มรุ่น 1 มากขึ้น แล้วมันเป็นช่วงเวลาที่ทั้ง 2 รุ่นจะได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน
อย่างรุ่น 2 ก็จะได้เรียนรู้การใช้ชีวิตในวงจากรุ่นพี่รุ่น 1 ส่วนรุ่น 1 ก็จะได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากการมาของน้องรุ่น 2 และรุ่น 2 ชุดนี้เป็นรุ่นที่มีความพยายามสูงมาก เพื่อเป็นกำลังสำคัญในอนาคตของ CGM48
จิงจิง: หนูก็รู้สึกดีใจที่ได้ติดซิงเกิลนี้และเป็นเพลงออริจินัลซองด้วย ก็ขอขอบคุณโอกาสดีๆ ที่มอบให้ทั้งหนูแล้วก็พี่ลูกเกด มันเป็นประสบการณ์ที่แอบชวนให้เครียดอยู่เหมือนกัน เพราะการเข้ามาตรงนี้มันคือการทำงานครั้งแรกของเราทุกอย่างเลย ทั้งการถ่ายทำมิวสิกวิดีโอครั้งแรก ที่เราไม่มีประสบการณ์อะไรเลย แต่ก็ยังรู้สึกอุ่นใจที่มีพี่ลูกเกดที่เป็นรุ่น 2 เหมือนกันติดเข้ามาด้วย และมีพี่รุ่น 1 คอยช่วยอยู่ตลอด ซึ่งก็ทำให้หนูไม่รู้สึกเครียดมากเท่าไร
ถาม ‘จิงจิง’ หลังจากก้าวมาเป็นสมาชิก CGM48 เต็มตัว ภาพที่เห็นกับสิ่งที่เป็นต่างกันขนาดไหน
จิงจิง: ตอนแรกก็คิดว่า CGM48 ก็คือวงไอดอลปกติที่เต้นกับร้องเพลงเฉยๆ แต่พอได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวงจริงๆ สิ่งที่ CGM48 เป็นมันเกินคำว่า ‘ไอดอล’ ถึงกิจกรรมหลักจะเป็นการร้องและเต้น แต่ทุกสิ่งที่เขาได้ทำมันเป็นการสื่อถึงการให้กำลังใจกับแฟนคลับ ทำให้ทุกคนมีกำลังใจ ทุกคนอยู่กันแบบครอบครัว มีความอบอุ่นมากๆ มันเลยทำให้ส่วนตัวหนูรู้สึกอุ่นใจที่ได้เข้ามาอยู่ตรงนี้ และดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของวง
เล่าบรรยากาศการถ่ายทำมิวสิกวิดีโอ
พั้นซ์: มิวสิกวิดีโอตัวนี้เราไปถ่ายทำกัน 2 ที่ ฉากแรกของมิวสิกวิดีโอที่เดินป่า เราไปถ่ายทำกันที่ ‘สวนสนบ่อแก้ว’ สตอรีก็จะเป็นเกี่ยวกับกลุ่มนักเดินทางที่ทำแผนที่ปลิวหายระหว่างการออกเดินผจญภัย เลยแยกกันไปตามหาแผนที่ แล้วระหว่างการเดินทางก็จะเจอกับบรรดาเทพธิดาทั้ง 4 ที่อยู่ประจำป่า ก็จะแบ่งเป็น 4 กรุ๊ป
กรุ๊ปของพี่ออมก็จะเป็นเกี่ยวกับดอกไม้ กรุ๊ปของพี่รินะก็จะเป็นเกี่ยวกับการละเล่น กรุ๊ปของพี่แองเจิ้ลก็จะเป็นเกี่ยวกับเครื่องดนตรีปี่น้ำเต้า และกรุ๊ปของพั้นซ์และพี่มามิ้งค์เป็นนักเดินทาง
ส่วนซีนเต้นรวมกลุ่ม 16 คน เราไปถ่ายทำกันที่ ‘ดอยแม่โถ’ ตอนไปเห็นกับตาครั้งแรกคือวิวดีมาก อากาศเย็นสบาย และตื่นเต้นมาก เพราะน่าจะเป็นครั้งแรกของใครหลายๆ คนที่ได้มีโอกาสขึ้นไปบนดอย
ภาพเบื้องหลังการถ่ายทำมิวสิกวิดีโอเพลง 2565 จาก CGM48
แองเจิ้ล: มิวสิกวิดีโอมีหลายอย่างที่แองเจิ้ลรู้สึกประทับใจมากๆ แต่ที่ชอบที่สุดก็คือเรื่องของท่าเต้น ที่เรารู้สึกได้เลยว่าคนออกแบบท่าเต้นคือคิดมาอย่างดีมากๆ เพราะผู้ออกแบบท่าเต้นคือคนเดียวกับที่ออกแบบท่าเต้นให้เพลง มะลิ เป็นเพลงที่ท่าเต้นใส่รายละเอียดไปเยอะมาก เลยสัมผัสได้ว่าผู้ออกแบบใส่ความตั้งใจไปกับท่วงท่าเต้นให้กับเพลงนี้เยอะมากจริงๆ และที่สำคัญคือสิ่งที่ออกแบบมามันเหมาะกับมามิ้งค์ในฐานะเซ็นเตอร์มากๆ
อิซึรินะ: คนคิดท่าเต้นเพลงนี้คือคนญี่ปุ่น เป็นครูฝึกจาก AKB48 ก่อนออกแบบท่าเต้นเพลงนี้ครูฝึกที่ญี่ปุ่นก็มาทำการบ้านเกี่ยวกับมามิ้งค์ เพราะเพลงนี้มามิ้งค์เป็นเซ็นเตอร์ เพื่อศึกษารายละเอียดว่าเซ็นเตอร์เพลงนี้เป็นคนแบบไหน มีความชอบอะไร ยังไงบ้าง ก็มาเอาข้อมูลจากรินะไปออกแบบเป็นท่าเต้นเฉพาะของเซ็นเตอร์เอง ไปจนถึงท่าทำตัวเลข 2565 ที่ไม่คิดเหมือนกันว่าจะทำออกมามีรายละเอียดเยอะขนาดนี้ ก็รู้สึกชื่นชมครูออกแบบท่าเต้นด้วย
และความท้าทายในการทำเพลงนี้คือทุกอย่างต้องทำภายในเวลาไม่ถึง 1 เดือน ก่อนขึ้นโชว์ 1st Performance ทั้งการจัดบล็อกกิ้งเต้นของสมาชิก ไปจนถึงการถ่ายทำมิวสิกวิดีโอ
มุมมอง ‘เซ็นเตอร์’ กับความรู้สึกหลังจากได้โชว์ 1st Performance
มามิ้งค์: พอใจค่ะ เพราะพวกเราทุกคนได้แสดงโชว์ออกไปอย่างเต็มที่แล้วเมื่อเทียบกับเวลาในการซ้อมที่มีจำกัด พอทำออกมาแล้วก็รู้สึกภูมิใจในตัวเอง ในที่สุดเราก็ทำได้ รวมถึงเพื่อนๆ ทุกคนก็แฮปปี้แล้วก็สนุกไปกับโชว์
ออม: รู้สึกพวกเราสุดยอดอยู่นะ เพราะทุกอย่างมันทำในช่วงที่มีระยะเวลาจำกัดมาก แต่คุณภาพของพวกเราก็ยังคงเหมือนเดิม เพราะถ้าคุณภาพยังตก เราจะไม่มีทางได้รับอนุมัติจากพี่รินะเพื่อขึ้นไปแสดง (หัวเราะ) โดยรวมก็รู้สึกพอใจที่ออกมาดีมากๆ ค่ะ
จากนั้นเราตัดสลับมาที่การพูดถึง ‘เพลงรอง’ ทั้ง 2 เพลง ในซิงเกิลที่ 5 อย่าง Only Today และ Kimi wa Boku da กับความรู้สึกหลังโชว์ 1st Performance
ออม: หลังจากที่ได้โชว์เพลง Kimi wa Boku da ออกไปแล้วก็รู้สึกตื่นเต้นมากๆ เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสมาโซโล่เพลงเดี่ยว เพราะปกติแล้วเวลาขึ้นโชว์ก็จะได้โชว์กับน้องๆ 6 คน หรือ 16 คน แล้วแต่โอกาส แต่สำหรับครั้งนี้เราต้องทำโชว์ออกมาคนเดียว ต้องเอาเวทีให้อยู่ ก็รู้สึกเป็นอะไรที่ท้าทายมาก บวกกับระยะเวลาที่ซ้อมน้อยมากๆ เพราะเราไม่ได้ซ้อมเพลงนี้เพลงเดียว เพราะเรายังต้องซ้อมเพลงหลัก รวมถึงอื่นๆ ที่ขึ้นโชว์ในวันนั้นด้วย
อย่างเนื้อเพลงหนูก็เพิ่งรู้เนื้อร้องก่อนอัดเพลงเพียง 1 วัน เท่ากับว่ามีเวลาทำการบ้านเพียง 1 คืน มันเป็นความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความท้าทายมากๆ เพราะมันจะมีเสียงเราคนเดียวในเพลงนั้น แล้วความหมายของเพลงนี้มันเหมือนสถานการณ์ของเราในเพลงนี้เลย คือความหมายของเพลงมันเหมือนการให้กำลังใจตัวเอง เหมือนเราได้รับโอกาสอะไรมาสักอย่างหนึ่งแล้วต้องลงมือทำบางสิ่งที่เรารู้สึกไม่มั่นใจว่าเราจะทำได้ดีหรือเปล่า มันจะประสบความสำเร็จไหม มันจะเข้ากับเราหรือเปล่า ขณะที่เพลงนี้ก็เหมือนเสียงเตือนสติที่คอยบอกเราว่าทำไปเถอะ แม้ว่ามันจะเกิดข้อผิดพลาดหรืออะไรก็ตาม แต่ก็อยากให้เราได้ภูมิใจในตัวเองที่ได้รับโอกาสในการลงมือทำ และจงเป็นตัวของตัวเองเพื่อแสดงออกถึงสิ่งที่รักออกมาอย่างดีที่สุด
ส่วนตัวออมก่อนขึ้นเวทีก็มีโอกาสได้ดูคลิปการแสดงของต้นฉบับเยอะมาก ดูจากญี่ปุ่นทุกคนเลยว่าเวลาเขาขึ้นสเตจเพลงนี้เขามีท่าทางการร้องการโชว์เป็นยังไงบ้าง แต่พี่รินะก็บอกว่าไม่อยากให้เราทำเหมือนต้นฉบับ คืออยากให้เราแสดงออกเป็นตัวของเราเอง ทำยังไงก็ได้ให้รู้สึกสบายใจ ก็เลยออกมาเป็นอย่างที่ทุกคนเห็นค่ะ
แองเจิ้ล: ตอนแรกที่รู้ว่าเพลง Only Today จะมีการผสมผสานภาษาเหนือไปด้วยก็รู้สึกท้าทายเหมือนกันนะ แอบกังวลนิดหนึ่งว่าเราจะออกเสียงถูกไหมนะ ซึ่งพวกเราก็ได้เนื้อร้องก่อนอัดเพลงไม่นานเหมือนกัน แล้วแองเจิ้ลกับพั้นซ์ ในฐานะเซ็นเตอร์ ก็ต้องฝึกภาษาเหนือกันเยอะด้วย ระหว่างการทำงานก็มีคุยกันว่าเราจะร้องกันถูกไหมนะ
พั้นซ์: คือเนื้อเพลงตอนแรกจะมาแบบภาษาไทยปกติ แต่ครูเอ๊ะได้ปรับใส่เนื้อภาษาเหนือลงไปเพื่อให้เป็นกลิ่นอายในแบบ CGM48 ก็รู้สึกแอบตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน
และอีกหนึ่งความกดดันที่พวกเรารู้สึกตรงกันก็คือมันเป็นครั้งแรกที่พวกเราเป็นเซ็นเตอร์และเป็นเซ็นเตอร์คู่ด้วย ก็อย่างที่บอกเลยคือมันเป็นการทำงานที่เต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและกดดันอยู่นิดๆ แต่พวกเราก็ก้าวข้ามผ่านมาได้ แล้วก็เชื่อว่าโชว์วันนั้นพวกเราทำออกมาอย่างเต็มที่
แองเจิ้ล: อย่างที่บอกคือช่วงเวลาในการทำซิงเกิลนี้มีเวลาน้อยกันแทบจะทุกเพลงเลย ก็แอบกดดัน เพราะส่วนตัวไม่ได้เป็นสายเต้นที่เก่งมาก คือเพลงนี้มันเน้นอารมณ์ร่วมที่เราจะต้องสนุกกับมัน แต่ก็รู้สึกอุ่นใจที่มีพั้นซ์คอยช่วยอยู่ข้างๆ เรียกว่ามองหันไปก็เจอ
พั้นซ์: แล้วก็ชอบรีแอ็กของแฟนคลับตอนที่พวกเรามองลงเวทีไปหลังจากแสดงเพลงนี้จบ เพราะดูเหมือนทุกคนจะชอบมากๆ เราก็เลยรู้สึกโล่งใจและดีใจในเวลาเดียวกันที่ได้เห็นคนชอบ
ถัดมาระหว่างการพูดคุยเราได้สังเกตว่าเพลงนี้ได้พูดถึงเรื่อง ‘จุดสูงสุด’ ที่พวกเธอวาดฝันว่าต้องการปีนไปให้ถึงสักครั้ง… เราจึงได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า
อะไรคือจุดสูงสุดที่พวกเธอฝันให้ CGM48 ได้เป็น และอยากพาไปให้ถึงจุดนั้น?
จิงจิง: จิงจิงที่เพิ่งเข้ามาก็อาจจะพูดอะไรได้ไม่เยอะ อาจจะยังไม่ได้อยู่ในจุดที่สัมผัสวิถีชีวิตของวงแบบทะลุปรุโปร่ง แต่ส่วนตัวก็อยากให้ CGM48 เป็นที่รู้จักมากขึ้นเหมือนกับที่พี่ๆ พูดไปก่อนหน้านี้ ปกติเวลามีคนข้างนอกถามว่าเราอยู่วงอะไร พอเราตอบชื่อวง CGM48 ไปเขาก็จะมีคำถามกลับมาทันทีว่า CGM48 คือวงอะไร?
หนูเลยอยากมีโมเมนต์ที่แบบว่าเมื่อพูดชื่อวงออกไปแล้วเขารู้จักในทันที และอยากให้อนาคต CGM48 ดังเปรี้ยงปร้างไปทั่วโลกเลย นึกถึงเชียงใหม่ก็นึกถึงพวกเรา CGM48
แองเจิ้ล: อยากให้ทุกคนได้รู้จักกับ CGM48 มากขึ้น อาจจะเริ่มแค่คนในเชียงใหม่รู้จักเราให้มากขึ้น เพราะผลงานเราค่อนข้างที่จะนำเสนอวัฒนธรรมของภาคเหนืออย่างชัดเจน ในทุกเพลง ทุกมิวสิกวิดีโอ ก็จะมีภาษาเหนือสอดแทรกในเนื้อเพลง รวมถึงตอนเปิดตัวเล่นเพลง Chiang Mai 106 ก็จะมีชุดสไตล์ประยุกต์ พอมาเป็นเพลง Melon Juice ก็มีโชว์สถานที่แลนด์มาร์กต่างๆ ในเชียงใหม่ ซึ่งในแต่ละเพลงจะนำเสนออัตลักษณ์ความเป็นเชียงใหม่ไว้เสมอ เลยรู้สึกว่าวงเราค่อนข้างที่จะมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใครแน่นอน และอยากให้ทุกคนได้รู้จักเรามากขึ้น ทั้งกับผู้คนในจังหวัดเชียงใหม่เองรวมถึงคนทั้งประเทศ
ส่วนที่เป็นอยู่ก็รู้สึกว่าพอใจในระดับหนึ่งแล้ว กับการที่ CGM48 เป็นที่รู้จักมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงแรกๆ เพื่อนเราหลายคนก็มีฐานแฟนคลับเพิ่มมากขึ้น หรือสังเกตได้จากงาน General Election ครั้งล่าสุด ที่หลายคนเริ่มมีโอกาสเข้าไปติดอันดับในงาน GE บ้างแล้ว ในอนาคตก็เลยรู้สึกว่าอยากให้เพื่อนๆ ได้มีชื่อติดอันดับในงานนี้อีกเยอะกว่านี้ เพื่อที่ทุกคนจะได้รู้จักกันมากขึ้น
ออม: คิดเหมือนกับน้องแองเจิ้ล คืออยากให้วงเป็นที่รู้จักมากขึ้น อาจจะต้องเท้าความตั้งแต่ตอนที่เราเคยอยู่ BNK48 มาก่อน ในฐานะรุ่นที่ 2 ซึ่งตอนที่พวกเรารุ่น 2 เข้ามาตอนนั้น เป็นช่วงที่ BNK48 กำลังบูมแบบสุดขีด มันเป็นจุดที่วงไม่ได้เป็นที่รู้จักในแค่กลุ่มแฟนเพลงสายไอดอล แต่ทุกคนทั่วประเทศเริ่มรู้จัก BNK48 แล้ว
ออมเคยอยู่กับวงในช่วงระยะเวลานั้น เลยรู้สึกว่าช่วงนี้เป็นอะไรที่สนุกมาก เราได้ทำงานเยอะมาก ถึงเราจะได้ทำงานทุกวันแต่เราไม่เหนื่อย มันเป็นการทำงานด้วยความสนุก ไปออกอีเวนต์ไหนทุกคนก็ร้องเพลงของเราได้กันทั่วประเทศเลย ก็เลยอยากให้มีโมเมนต์แบบนี้เกิดขึ้นกับ CGM48 บ้าง ออมอยากให้น้องๆ ได้สัมผัสกับจุดที่ออมเคยรู้สึก คือตอนนี้มันก็ดีแล้วนะ มันโอเค มันสวยงาม แต่ก็ยังรู้สึกว่าอยากเห็น CGM48 ไปแตะในจุดที่ BNK48 เคยทำได้อีกสักครั้ง
พั้นซ์: อยากให้ CGM48 เป็นที่โด่งดังไปทั่วประเทศเลยค่ะ อยากให้ทุกคนรู้จัก CGM48 เวลาไปที่ไหนก็อยากให้ทุกคนร้องเพลงของพวกเราได้ มันน่าจะเป็นอะไรที่ภาคภูมิใจสำหรับพวกเรามากๆ ส่วนตัวเลยอยากจะพาวง CGM48 ก้าวขึ้นเป็นวงไอดอลที่ดีที่สุดในประเทศเลยค่ะ
มามิ้งค์: อยากให้คนเปิดใจกับ CGM48 มากขึ้น เหมือนกับว่าก่อนหน้านี้เวลาที่หลายคนได้ยินคำว่าไอดอล ก็จะเป็นกลุ่มเด็กสาวที่ออกมาแค่ร้องกับเต้นเฉยๆ ทำตัวน่ารักไปวันๆ แต่จริงๆ แล้วพวกเรามีหลากหลายมิติ มีหลากหลายมุม แต่ละสมาชิกก็มีลักษณะนิสัยที่ต่างกัน เรามีอะไรอีกหลายอย่างที่อยากให้ทุกคนมาทำความรู้จักเรามากขึ้น ก็อยากจะให้ทุกคนได้เปิดใจให้กันบ้างค่ะ
อิซึรินะ: สำหรับรินะอยู่กับ 48 Group มานานแล้วตั้งแต่ AKB48 จนย้ายมาเป็น BNK48 แล้วก็มาอยู่ที่ CGM48 ทุกวงจะมีเอกลักษณ์หรือคาแรกเตอร์ที่ต่างกันออกไปโดยสิ้นเชิง สำหรับรินะการอยู่กับ CGM48 ก็จะเป็นวงสุดท้ายที่เราจะอยู่ใน 48 Group ด้วย ทุกวันนี้เลยพยายามทำให้ CGM48 เป็นวงที่ดีที่สุดเท่าที่เคยทำมาตั้งแต่เข้ามาเป็นไอดอลของ 48 Group
ตอนนี้ก็ดีใจที่ CGM48 เป็นวงที่มีคาแรกเตอร์ชัดเจนแล้ว เพื่อนที่ AKB48 ก็มองว่า CGM48 เป็นวงที่มีมิวสิกวิดีโอที่สวยงาม มีเอกลักษณ์ที่ต่างจากวงอื่นๆ แล้วที่ทำให้ดีใจกว่าเดิมก็คือ แต่ก่อนเวลาเราพูดถึงวง 48 Group ในไทยก็จะมีแค่ BNK48 แต่ ณ วันนี้เริ่มมีคนพูดถึง CGM48 บ้างแล้ว แล้วตัวรินะก็มีความยินดีและดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการพาวง CGM48 โปรโมตหนึ่งในสถานที่ที่งดงามอย่างเชียงใหม่ ถึงแม้สมาชิกของวงทั้งหมดอาจจะไม่ใช่คนเชียงใหม่แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ทุกคนก็ทำหน้าที่ในการผลักดันวงการอย่างเต็มที่ทุกคนเลย
จุดหมายหรือภารกิจต่อไปที่เราอยากทำให้กับ CGM48
แองเจิ้ล: หนูอยากทำหน้าที่ในวงให้เต็มที่ เพื่อให้มีคนจ้างงานเรามากขึ้น (หัวเราะ) เพราะนอกจากเรื่องของรายได้ มันคือเรื่องของโอกาส ถ้าเราได้งานที่เปิดกว้างมากขึ้น มันก็จะทำให้ผู้คนได้เห็นได้รู้จักกับเราในมิติอื่นๆ มากขึ้นเหมือนกัน ยกตัวอย่างพี่มามิ้งค์ก็ได้รับโอกาสในการแสดงภาพยนตร์ The Cheese Sisters ไปเมื่อไม่นานนี้ เลยรู้สึกว่าในอนาคตอยากให้เพื่อนๆ ได้รับโอกาสแบบนี้บ้าง ซึ่งตัวหนูเองที่ได้ไปปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังรู้สึกว่าสนุกดีเหมือนกัน ท้าทายดี อยากให้วงเติบโตมากขึ้นในด้านนี้ค่ะ
พั้นซ์: อยากจะพัฒนาสกิลของตัวเองในด้านการร้องเพลง การเต้น การเป็นพิธีกร MC และด้านอื่นๆ ด้วย คือตอนนี้ก็รู้สึกว่าเราทำได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ถ้าเราพัฒนาได้เราจะทำหน้าที่นั้นได้ดีกว่านี้อีก แล้วในอนาคตก็ฝันไว้ว่าอยากจะได้เป็นเซ็นเตอร์เพลงหลักสักเพลง เพราะบันได 1 ขั้นแรก เราก้าวมาสำเร็จแล้วก็คือการเป็นเซ็นเตอร์เพลงรอง ก็เลยมีความคิดอยากจะก้าวไปสู่บันไดอีกขั้นซึ่งก็คือเป็นเซ็นเตอร์เพลงหลัก
จิงจิง: อยากเป็นสมาชิกในวงที่เก่งขึ้น อยากพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น ทั้งการร้องการเต้นเลย เพราะตัวหนูเองก็เพิ่งเข้ามาฝึกฝนกับวงได้ไม่นาน ก็อาจจะยังมีข้อผิดพลาดอยู่บ้าง แล้วในอนาคตก็อยากจะติดเซ็มบัตสึอีก เพราะมันเป็นโอกาสที่ดีมากๆ ที่เราได้ทำอะไรหลายๆ อย่าง และก็อยากให้สมาชิกรุ่น 2 ได้ติดเหมือนกัน
มามิ้งค์: ถึงเราจะอยู่กับวงมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองยังมีอะไรให้ต้องพัฒนาเยอะมากๆ ไม่ว่าจะการร้องหรือการเต้น ก็อยากจะทำออกมาให้ดีกว่าเดิม โดยเฉพาะการเต้นที่รู้สึกว่าต้องฝึกให้มากกว่านี้ พัฒนาให้มากกว่านี้ อย่างเรื่องการโชว์ Performance การใช้สายตาแสดงอินเนอร์บนเวที ก็คิดว่าต้องพัฒนาจุดนั้นต่อไป
รวมถึงการพูดที่รู้สึกว่าอยากให้ตัวเองพูดได้คล่องแคล่วมากกว่านี้ เพื่อที่จะได้สื่อสารสิ่งที่ตัวเองต้องการพูดออกไปได้ดีกว่านี้ คือหนูรู้สึกว่าหนูเป็นคนที่ก่อนจะพูดอะไรยาวๆ ต้องมานั่งตกตะกอนความคิดของตัวเองก่อน เลยต้องเตรียมเอาไว้ เพื่อที่จะได้พูดทุกอย่างที่ตัวเองอยากพูด ก็เลยคิดว่าจะต้องฝึกฝนต่อไปเรื่อยๆ และในอนาคตก็หวังว่าตัวเองจะทำสิ่งเหล่านี้ได้ดีขึ้น
ออม: หนูเป็นคนที่อยากทำอะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา อยากทดลองทำอะไรใหม่ๆ ถึงแม้เวลาของเรากับวงมันจะเริ่มนับถอยหลังลงเรื่อยๆ กับการที่จะได้อยู่ที่นี่ ทุกครั้งที่จบสิ้นปีหนูจะมานั่งสรุปชีวิตตัวเองว่าในแต่ละปีเราได้ทำอะไรลงไปบ้าง อย่างก่อนหน้านี้ปี 2564 เราก็ได้มีโอกาสได้ทำการแสดงในซีรีส์ XYZ The Series ก็มองว่ามันเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้ทำในฐานะนักแสดง อย่างปีนี้ 2565 เราจบปีด้วยการมีเพลงโซโล่เป็นของตัวเอง ได้โชว์ Performance คนเดียวบนเวที ก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นผลงานใหม่ที่เข้าเติมเต็มให้กับเราในปีนี้ เพราะในแต่ละปีเราก็คาดหวังที่จะได้ทำอะไรใหม่ๆ อยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นเป้าหมายของหนูในปีหน้าและปีต่อๆ ไปก็ยังคิดอยู่เหมือนเดิม คืออยากจะได้ลงมือทำสิ่งใหม่ๆ สิ่งที่เรายังไม่เคยทำ เพราะหนูชอบที่จะเรียนรู้ว่าสิ่งที่เราทำลงไปเราชอบมันหรือเปล่า ซึ่งเราจะหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลยตราบใดที่เรายังไม่ได้ลงมือทำ
อีกอย่างตอนนี้รู้สึกว่าเหมือนเรากำลังอยู่ในโรงเรียน ตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วง ม.5 เข้า ม.6 เวลาของเราตรงนี้มันเริ่มใกล้หมดลงแล้ว มันก็เลยเป็นโอกาสที่มองว่าอยากจะลองทำสิ่งใหม่ๆ เพื่อที่เวลาเราไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว เราจะได้เก็บประสบการณ์ที่เราทำไว้ในช่วงเวลานี้ไปต่อยอดกับการใช้ชีวิตในอนาคต เพื่อที่จะได้รู้ว่าเราควรจะเดินไปทางไหนต่อดี
การอยู่วงนี้จึงเป็นเหมือนสถานที่คอยสอนเราว่าเราชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไร ซึ่งสิ่งที่หนูได้ค้นพบแล้วก็คือเราเป็นคนที่หลงรักการแสดงมากๆ มันเลยทำให้เรารู้สึกใจฟูเมื่อได้รับโอกาสที่จะได้ทำการแสดงอีกครั้ง ก็เลยเกิดเป็นความคิดว่าอยากจะทำต่อไปเรื่อยๆ ในบทบาทที่ท้าทายกว่าเดิม ซึ่งในบทบาทที่เราเคยได้รับเราเป็นนักศึกษามาแล้ว 2 รอบ ก็เลยคิดว่าอยากจะลองได้รับโอกาสในบทบาทอื่นบ้าง
รวมถึงปีหน้าที่กำลังจะมีโปรเจกต์ร้องเพลงในนาม ‘eRa’ ก็รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกันที่เราจะได้ทำเพลงแนวลูกทุ่งอีสาน แค่คิดก็รู้สึกท้าทายแล้ว เพราะว่าเราแทบไม่เคยร้องเพลงอีสานเลย เราเป็นเด็กภาคเหนือที่ไปเรียนต่อภาคกลาง เราแทบไม่เคยสัมผัสวัฒนธรรมอีสาน เต็มที่ก็คือการกินส้มตำที่หนูชอบมากๆ (หัวเราะ) แต่หนูก็เลือกที่จะท้าทายตัวเองด้วยการเข้าไปออดิชันโปรเจกต์นี้โดยที่ไม่รู้ว่าเขาจะเลือกเราหรือเปล่า เพียงแต่ตัวหนูคิดว่ามันคือสิ่งใหม่ ไม่รู้ว่าเราจะทำได้ไหมแต่อยากลองมากๆ สุดท้ายเมื่อก้าวไปแล้วก็ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในสมาชิกของโปรเจกต์นี้ ก็ไม่รู้ว่าจะออกมาเป็นยังไง แต่เมื่อถึงเวลาแล้วเราก็จะทำให้เต็มที่ค่ะ
อิซึรินะ: รินะอยากให้ทุกคนภูมิใจกับสิ่งที่รินะทำให้ CGM48 เพราะการมายืนอยู่ตรงนี้ในฐานะชิไฮนิน มันมีหน้าที่ต้องทำหลายอย่างมากๆ แล้วทุกอย่างมันเป็นสิ่งที่เราไม่เคยทำมาก่อนด้วย เพราะตอนอยู่ AKB48 กับ BNK48 เราอยู่ในฐานะเมมเบอร์เฉยๆ เต็มที่กับการพัฒนาตนเองด้านการร้องและเต้น ปัจจุบันสิ่งที่ได้ทำในฐานะเมมเบอร์ก็ยังอยู่ แต่การมีตำแหน่งชิไฮนินมันก็ทำให้เครียดบ้าง แต่ก็รู้สึกภูมิใจที่เราได้เรียนรู้จากการทำหน้าที่ตรงนี้ได้เยอะมาก ได้เข้าใจความรู้สึกของผู้ใหญ่ที่เคยทำหน้าที่ตรงนี้ ขณะที่เราก็ยังรับความรู้สึกในฐานะเมมเบอร์อยู่เหมือนเดิม
รินะก็เลยอยากให้ทุกคนภูมิใจ อยากให้ทุกคนเวลาพูดถึงวง CGM48 ก็พูดถึงรินะด้วยเสมอ ซึ่งตัวรินะเองก็ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ CGM48 และก็รู้สึกว่าวันใดวันหนึ่งถ้าเราก้าวออกจากวงไป ไม่ได้อยู่ใน 48 Group แล้ว เชื่อได้เลยว่าตัวรินะจะคิดถึง CGM48 อย่างแน่นอน แต่ยังคงรักและสนับสนุนวงต่อไป
คำขอบคุณถึงแฟนคลับ
จิงจิง: จิงจิงอยากขอบคุณแฟนคลับทุกๆ คน พี่เปิดใจรับหนูรวมถึงสมาชิกรุ่น 2 ทุกคนที่เพิ่งเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวง อยากให้ทุกคนลองเปิดใจให้กับพวกเรา มาทำความรู้จักดู เพราะรุ่น 2 ก็มีความน่ารัก อ่อนโยน ก็อยากจะขอบคุณแฟนคลับที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่วันแรกจนถึงตอนนี้ อาจจะเป็นระยะเวลาไม่นาน แต่หนูก็มีความสุขมากๆ เลย ถึงหนูจะพูดไม่ค่อยเก่งหรือเป็นคนที่ไม่ค่อยพูด แต่ทุกคนก็ยังให้กำลังใจหนู อยู่กับหนูตลอด มันทำให้หนูมีความสุขมากๆ ก็อยากจะขอบคุณนะคะที่เอ็นดูหนูกับรุ่น 2
พั้นซ์: รู้สึกขอบคุณแฟนคลับมากๆ เลยค่ะ ที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัว ตอนนั้นก็ยังรู้สึกว่าเราอยู่กันแบบครอบครัวเล็กๆ แต่พอเดินทางมาถึงปัจจุบันรู้สึกว่าครอบครัวเราใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมากๆ ก็เลยคิดว่าถ้าขาดแฟนคลับไป CGM48 ก็อาจจะมาไม่ถึงจุดนี้ เพราะแฟนคลับถือเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้พวกเรามีกำลังใจในการทำงาน ในการทำหน้าที่ในวงนี้
แองเจิ้ล: อยากขอบคุณแฟนคลับทุกคนเลยที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่วันแรก มีทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ที่เข้ามาหากัน ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาจนวันนี้ที่หนูได้เป็นเซ็นเตอร์เพลงรอง “เป็นไงล่ะ…ภูมิใจใช่ไหม?” ก็นั่นแหละตำแหน่งนี้ไม่ได้มาได้ง่ายๆ นะจ๊ะ (หัวเราะ) ก็รู้สึกขอบคุณทุกคนมากๆ ที่เป็นกำลังใจให้แองเจิ้ลมาเสมอ แต่ก็อยากให้ทุกคนอยู่ด้วยกันไปนานๆ นะคะ
ออม: สำหรับหนูถ้าจะให้พูดถึงแฟนคลับ พวกเขาเหมือนเป็นลมหายใจของหนู ในการที่ทำให้หนูได้อยู่ในวงนี้ต่อไปได้อย่างมีความสุข คือสารภาพเลยตั้งแต่ตอนเข้ามา BNK48 ตอนแรกๆ เราก็ไม่คิดว่าจะอยู่กับวงจนครบสัญญาหรือมาได้ไกลขนาดนี้ เพราะความรู้สึกตอนนั้นคือเราแค่อยากรู้ว่าการเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้เป็นยังไง การเป็น BNK48 จะเป็นยังไง ได้รับประสบการณ์ยังไงนะ แล้วเราก็รู้สึกว่าเราก็อายุเยอะแล้วนะในตอนนั้น คือเข้ามาในวงก็เป็นพี่คนโตแล้ว ก็เลยรู้สึกว่าเราอาจจะอยู่ไม่นานมั้ง แต่กลายเป็นว่ายิ่งอยู่ไปมันทำให้หนูยิ่งหลงรักที่จะทำหน้าที่ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งในวงนี้ ซึ่งแฟนคลับก็มีส่วนสำคัญที่ต่อลมหายใจให้เราอยู่ตรงนี้ได้ต่อไปเรื่อยๆ เพราะการมีพวกเขาทำให้มีหนูอยู่ที่นี่
ก็ดีใจที่มีพวกเขาอยู่จนถึงทุกวันนี้ เพราะถ้านับเวลาเราก็เดินทางด้วยกันมา 4-5 ปีแล้ว แต่ทุกคนก็ยังคงอยู่กับหนู และถึงแม้จะมีน้องๆ สมาชิกใหม่ๆ เข้ามาตลอดเวลา แต่หนูก็รู้สึกไม่ได้กลัวอะไรเลยว่าเขาจะหายไป เพราะหนูมั่นใจในตัวเขามากๆ ว่าเขาจะยังอยู่กับเรา แล้วเราก็จะเป็นเราที่คอยให้กำลังใจกลับไปให้พวกเขา เราจะมีกันและกันอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ทุกปี ไม่ว่าหนูจะอยู่ที่ไหน ในสถานะอะไร เขาก็จะอยู่กับหนู ก็อยากจะขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ
จริงๆ หนูไม่ค่อยกล้าพูดความรู้สึกเกี่ยวกับแฟนคลับ แฟนคลับของหนูเองจะรู้ว่าหนูไม่ค่อยพูดอะไรแบบนี้ เพราะหนูจะใช้วิธีพยายามทำให้เขาเห็นผ่านผลงานเพื่อให้พวกเขาภูมิใจ เพราะหนูพูดอยู่ตลอดเวลาว่าอยากให้ทุกคนภูมิใจที่มาซัพพอร์ตเราจากผลงานที่เราจะทำให้เขา ตอนนี้หนูก็ถือโอกาสพูดเลยแล้วกันว่าหนูรักเขาทุกคนมากๆ ขอบคุณที่ทุ่มเทและทำเพื่อหนูขนาดนี้ ถ้าไม่มีพวกเขาก็คงไม่มีหนูอยู่จริงๆ
อิซึรินะ: รินะเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดความรู้สึกของตัวเองให้แฟนคลับฟังสักเท่าไร เพราะเวลาไลฟ์ทุกคนก็จะถามเรื่อง CGM48 ไม่ค่อยมีใครถามเกี่ยวกับรินะเท่าไร แต่ทุกคนก็จะคอยขอบคุณรินะเสมอที่เต็มที่กับ CGM48 บางทีรินะก็คิดว่าเราก็เป็นพวกคิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง และด้วยความที่รินะทำหน้าที่ตรงนี้มานาน มันก็ยิ่งทำให้เราหันกลับมาคิดถึงตัวเองยาก เพราะการยืนตรงนี้มันทำให้เราต้องมองถึงน้องๆ ถึงสมาชิกทุกคนเป็นลำดับแรก
แต่ไม่ว่าจะในสถานการณ์ไหน สิ่งที่ทำให้รินะอุ่นใจและสบายใจอยู่เสมอ คือการที่มีแฟนคลับคอยอยู่ข้างๆ สำหรับรินะคำว่าแฟนคลับมันไม่ได้หมายความว่าเป็นแฟนคลับ แต่ในความหมายเลยนะพวกเขาเหมือนเป็น ‘อาจารย์’ มากกว่า คือการเข้ามาอยู่ตั้งแต่เป็น BNK48 หรือเป็น CGM48 พวกเขาจะคอยสอนภาษาไทยให้รินะอยู่ตลอด เพราะโดยพื้นเพรินะไม่ใช่คนที่พูดภาษาไทยได้เก่งขนาดนั้น เวลามีงานจับมือก็จะมีแฟนคลับเข้ามาชวนคุยภาษาไทยเขาก็จะคอยชมว่ารินะพูดไทยเก่งขึ้นนะ ซึ่งตัวรินะก็ไม่ได้คิดว่าเราเก่งขนาดนั้น แต่คำว่า “พี่รินะเก่งมากเลยนะ” มันคือประโยคที่คอยเสริมสร้างกำลังใจให้รินะมีความมั่นใจมากขึ้น ทั้งการฝึกพูดภาษาไทยหรือการทำหน้าที่ตรงนี้ อยากจะขอบคุณทุกคนที่เป็นอาจารย์ที่ดีให้กับรินะเสมอมา
มามิ้งค์: ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่เข้ามา หนูรู้สึกว่าหนูยังเป็นเด็กที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองสักเท่าไร แต่ก็ยังคงมีกลุ่มแฟนคลับที่คอยเชื่อมั่นในตัวหนู คอยตามไปให้กำลังใจเราเสมอ แล้วเมื่อก่อนหนูเป็นคนขี้อาย เงียบๆ ไม่ค่อยพูดอะไร แต่ก็ยังมีแฟนคลับเข้ามาเปิดใจกัน มามอบความรักให้กัน มาให้กำลังใจ มาเอ็นดู มาเมตตาหนู สิ่งเหล่านี้มันทำให้หนูรู้สึกยินดีที่ได้รู้จักทุกคนเหมือนกัน
ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ทำเพื่อหนูมาเสมอผ่านโปรเจกต์หรือกิจกรรมต่างๆ หนูรู้สึกว่าเขาทำให้เราด้วยความรักโดยที่ไม่ได้หวังอะไรตอบแทน คือเขาจะคอยบอกหนูอยู่เสมอเลยว่าแค่ให้หนูได้เป็นตัวของหนูต่อไปแบบนี้เขาก็จะมีความสุขแล้ว “โอ๊ย… พูดแล้วจะร้องไห้” หนูก็นึกขอบคุณพวกเขาทุกวันเลยว่าทำไมแฟนคลับถึงใจดีกับเราได้ขนาดนี้ ก็เลยรู้สึกดีใจมากๆ ที่ได้เจอและได้มีพวกเขาคอยซัพพอร์ตเราในเส้นทางนี้เสมอ
ฟังเพลง 2565 จาก CGM48 ได้ที่นี่: