สำนักข่าว Bloomberg รายงานอ้างอิงประกาศจากคณะกรรมาธิการด้านสุขภาพแห่งชาติของจีน (National Health Commission: NHC) ซึ่งออกแถลงการณ์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (26 ธันวาคม) ว่าทางการจีนจะยกเลิกมาตรการกักตัวผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2023 หลังจากที่มีการบังคับใช้มาตรการดังกล่าวมานาน 3 ปีเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด จนกระทบต่อการการฟื้นฟูเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน และกลายเป็นชนวนสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชน จนเกิดการประท้วงครั้งใหญ่ในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ แต่เดิมผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศเข้าจีนจะต้องกักตัวเป็นเวลาทั้งหมด 8 วัน โดย 5 วันแรกกักตัวดูอาการในโรงแรมที่กำหนดไว้ และหรือที่สถานกักตัวส่วนกลางที่ทางการจีนจัดหาให้ และตามต้วยการกักตัวที่บ้านเพิ่มอีกเป็นเวลา 3 วัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- หอการค้าฯ มองตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติปีหน้าอาจสูงถึง 25 ล้านคน หลังจีนส่งสัญญาณเปิดประเทศ แนะภาคบริการเร่งเตรียมพร้อมรองรับ
- จริงหรือที่ ‘อินเดีย’ กำลังจะเป็นโรงงานของโลกแห่งใหม่ต่อจากจีน? ถึงขั้นที่การผลิต 1 ใน 4 ของ ‘iPhone’ จะย้ายมาที่นี่ภายในปี 2025
- สีจิ้นผิง ขึ้นเวที G20 เรียกร้องประชาคมโลกจับมือฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม
นอกจากการประกาศยกเลิกมาตรการกักตัวสำหรับผู้ที่เดินทางเข้าประเทศแล้ว ทางจีนยังผ่อนคลายระดับการจัดการกับโควิดจากระดับสูงสุดมาสู่ระดับรองสูงสุด คือ Category A สู่ Category B นับเป็นการปรับลดมาตรการทางกฎหมายตามนโยบาย Zero-COVID ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมาธิการสุขภาพแห่งชาติจีนกล่าวว่าจะยังคงดำเนินการตรวจสอบเฝ้าระวังแพร่กระจายของไวรัสต่อไป และให้คำมั่นว่าจะดำเนินการบังคับใช้มาตรการระงับการแพร่ระบาดของโควิดสูงสุดอย่างเหมาะสม
นอกจากนี้ รายงานระบุด้วยว่า ผู้ที่จะเดินทางเข้าจีนยังคงต้องได้รับการตรวจแบบ PCR ก่อนขึ้นเครื่องจากประเทศต้นทางเป็นเวลา 48 ชั่วโมง
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ที่เกิดการประท้วงต่อต้านมาตรการคุมเข้มการแพร่ระบาดของโควิดในหมู่ประชาชนชาวจีนในหลายเมืองทั่วประเทศช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ทางการจีนได้เร่งผ่อนคลายมาตรการดังกล่าว ท่ามกลางความพยายามของประชาชนชาวจีนที่พยายามปรับตัวเพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ภายใต้วิถีใหม่
นอกจากนี้ ทางคณะกรรมาธิการสุขภาพแห่งชาติจีนยังกล่าวว่า จะเดินหน้าปรับปรุงการรักษาของผู้ป่วยหนักด้วยการส่งเสริมการจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ช่วยชีวิต เช่น เครื่องช่วยหายใจ และเพิ่มพื้นที่เพื่อรองรับจำนวนผู้ป่วยหนักในหอผู้ป่วยหนัก ขณะเดียวกันก็จะนำสถานกักกันในโรงพยาบาลเพื่อรักษาผู้ป่วยโควิดกลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง
แถลงการณ์ระบุว่า ไวรัสโควิดจะยังคงอยู่กับมนุษย์ไปอีกนาน แต่ระดับความรุนแรงของอาการจะลดลง และกลายเป็นโรคสำหรับทางเดินหายใจทั่วไปเท่านั้น
นับตั้งแต่ที่เกิดการระบาดของไวรัสโควิดในปี 2020 ประเทศจีนซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ได้ดำเนินนโยบายปิดประเทศอย่างเข้มงวดเพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาด ทำให้จีนถูกตัดขาดจากโลกอย่างสิ้นเชิง แม้ภายหลังจะมีการยกเลิกข้อจำกัดปิดประเทศ แต่มาตรการกัดตัวและการทดสอบการติดเชื้อที่ยุ่งยาก บวกกับระบบราชการที่ซับซ้อน และสารพัดมาตรการเกี่ยวกับการบินระหว่างประเทศ ทำให้นักเดินทางส่วนใหญ่เลี่ยงที่จะเดินทางมายังประเทศจีน
Bloomberg รายงานว่า การผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าออกจีน ไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อจีนเท่านั้น แต่จะเป็นประโยชน์ต่อหลายประเทศทั่วโลกที่พึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยวจีน ขณะเดียวกัน การคลายข้อกำหนดการทดสอบและการแยกตัวล่าสุด ยังจะช่วยเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวภายในประเทศซึ่งลดลงไป 26% ในช่วงวันหยุดยาววันชาติทั้งสัปดาห์ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ เป็นที่คาดการณ์ว่าการปรับเปลี่ยนนโยบายสกัดกั้นการแพร่ระบาดโควิดของทางการจีนในครั้งนี้ อาจจะทำให้การประมาณการด้านงบประมาณมีความซับซ้อนมากขึ้น และทำให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มเผชิญอุปสรรคในระยะสั้นจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น กระนั้น การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวถือเป็นการปูทางเพื่อให้จีนสามารถปรับตัวอยู่ร่วมกับโควิดได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับที่ทางรัฐบาลจีนได้ให้คำมั่นที่จะฟื้นฟูการบริโภคภายในประเทศและการสนับสนุนการเติบโตของภาคเอกชนในปี 2023 นี้
ด้านนักเศรษฐศาสตร์ส่วนหนึ่งมองว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของจีนน่าจะฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศ และทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือ GDP กลับมาตามเป้าที่ตั้งไว้ 5% หรือสูงกว่านั้น
อ้างอิง: