ภาพของ ลิโอเนล เมสซี ที่นั่งอยู่บนรถแห่ฉลองแชมป์ฟุตบอลโลก ท่ามกลางแฟนฟุตบอลชาวอาร์เจนไตน์ที่มาต้อนรับมืดฟ้ามัวดินถึง 5 ล้านคน เต็มพื้นที่ถนนในกรุงบัวโนสไอเรส เป็นภาพที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง
แชมป์ฟุตบอลโลกครั้งนี้มีความหมายเท่าความฝันของชาวอาร์เจนไตน์ ที่ต้องบอกว่ามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบากจากปัญหาเศรษฐกิจในประเทศ ฟุตบอลคือความสุขไม่กี่อย่าง หรืออาจจะเป็นอย่างเดียวของพวกเขา การได้แชมป์โลกครั้งแรกในรอบ 36 ปีนับจากยุคสมัยของ ดิเอโก อาร์มันโด มาราโดนา ทำให้พวกเขามีความสุขถึงขีดสุด
มากกว่านั้นคือการที่คนที่เป็นผู้นำทัพเบียงคิเชเลสเต (แปลว่า สีฟ้า-ขาว) คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้คือ ลิโอเนล เมสซี ผู้ที่พวกเขาเชื่อกันว่าเป็นทายาทของมาราโดนาที่พระเจ้าประทานมาให้ชาวอาร์เจนไตน์ ซึ่งหลังจากที่ผ่านความเจ็บช้ำมามากมาย ผ่านการหมดรัก การตัดใจ การปรับความเข้าใจ กว่าที่เมสซีจะได้มีที่ในใจของชาวอาร์เจนไตน์ก็ใช้เวลาหลายปี
ต่างฝ่ายต่างรออย่างยาวนาน จนบางครั้งก็มีช่วงเวลาที่คิดว่าจะไม่มีวันนั้นแล้ว
แต่วันนี้เราจะไม่ได้มาบอกเล่าเรื่องราวซาบซึ้งอะไรกันครับ อยากจะมาชวนกันถอดบทเรียนทิ้งท้ายสักนิดดีกว่าว่าแล้ว ลิโอเนล เมสซี เขาทำอย่างไรจึงสามารถกลับมาพาอาร์เจนตินาคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้สำเร็จ
เมสซีหัวใจสลาย หลังพ่ายชิลีในศึกโคปา อเมริกา 2015
1. ครูที่ยิ่งใหญ่คือคำว่าความพ่ายแพ้
ชั่วชีวิตของเมสซี เขาพิชิตความสำเร็จในเกมฟุตบอลมามากมายนับไม่ถ้วน
รางวัลส่วนตัวอย่างบัลลงดอร์ 7 สมัย, นักเตะยอดเยี่ยม FIFA 2 สมัย, นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของอาร์เจนตินา 14 จาก 17 ปีหลังสุด, ดาวซัลโวลาลีกา 7 สมัย, รางวัลดาวซัลโวยุโรป 6 สมัย, รางวัลลอริอุส (Laureus) รางวัลนักกีฬาอันทรงเกียรติ 1 สมัย
รางวัลกับสโมสรยิ่งไม่ต้องพูดถึง แชมป์ลาลีกา 10 สมัย, แชมป์โกปา เดล เรย์ 7 สมัย, แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก อีก 4 สมัย
แต่สิ่งที่เป็นปมด้อยในชีวิตของเขาคือความสำเร็จในระดับทีมชาติ และเป็นสิ่งที่เขารู้สึกผิดหวังมาตลอดที่ไม่สามารถพาอาร์เจนตินาเป็นแชมป์ได้สักที และมันยิ่งเจ็บมากขึ้นเมื่อถูกนำไปเปรียบเทียบกับมาราโดนา ที่ชาวอาร์เจนไตน์ยกให้เป็นเทพเจ้าลูกหนัง
เมสซีเคยถอดใจไปแล้วจากทีมชาติ หลังจากที่พาทีมเข้าชิงแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 2014 และชิงแชมป์โคปา อเมริกาอีก 2 สมัย เท่ากับแพ้ในนัดชิง 3 รายการติดต่อกัน ความผิดหวังทำให้เจ้าตัวประกาศอำลาทีมชาติทันที
แต่ความพ่ายแพ้เหล่านี้เองก็ได้กลายเป็นครูที่ดีที่สุดสำหรับคนที่ชนะมาตลอดอย่างเขา
22 de noviembre. Argentina 🇦🇷 1-2 🇸🇦 Arabia Saudí.
Messi avisó: "Que confíen. No les vamos a dejar tirados"
🎥 @ESPNFutbolArg https://t.co/un8BQPWGYD
— Manu Heredia (@ManuHeredia21) December 18, 2022
เมสซี บอกทุกคนหลังแพ้ซาอุดีอาระเบียว่า “ขอให้ศรัทธาในทีม”
2. อย่าหมดศรัทธา
หลังจากที่ทุกฝ่าย (รวมถึง เมาริซิโอ มากรี ประธานาธิบดีในขณะนั้น) พยายามเกลี้ยกล่อมให้เมสซีเปลี่ยนใจกลับมาเล่นให้ทีมชาติอาร์เจนตินาอีกครั้ง เขาก็กลับมาใหม่
ท่าทีจากแฟนบอลเริ่มเปลี่ยนแปลง มีความเห็นอกเห็นใจเมสซีมากขึ้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าอะไรๆ มันจะดีขึ้นง่ายๆ
ในฟุตบอลโลก 2018 เมสซียังเป็นคนแบกอาร์เจนตินาเหมือนเดิม และด้วยสภาพร่างกายที่เริ่มโรยราในวัย 31 ปี ประกอบกับมีทีมที่ไม่ดีนัก สุดท้ายเส้นทางของพวกเขาก็จบลงแค่รอบ 16 ทีมสุดท้าย ด้วยการพ่ายแพ้ต่อฝรั่งเศส 3-4 ซึ่งต่อมา ‘เลส์ เบลอส์’ ก็กลายเป็นแชมป์ฟุตบอลโลก
ถึงจุดนั้นมันง่ายมากที่จะถอดใจ แต่เมสซีก็ยังไม่ยอมแพ้ และดูเหมือนคราวนี้พระเจ้าจะได้ยินเสียงจากหัวใจของเขาบ้าง
ทีมอาร์เจนตินายุคใหม่ภายใต้การนำของ ลิโอเนล สกาโลนี รุ่นพี่ที่เคยเล่นเคียงข้างกันมาตั้งแต่เกมแรกที่เมสซีลงเล่นในนามทีมชาติอาร์เจนตินาชุดใหญ่นัดพบกับฮังการี (และโดนใบแดงตั้งแต่ยังไม่ครบนาที!) ค่อยๆ ประกอบร่างกลับมา
จนมาปลดล็อกได้ในปี 2021 เมื่อคว้าแชมป์โคปา อเมริกา ซึ่งเป็นแชมป์ระดับชาติรายการแรกได้ด้วยการล้มบราซิล ซึ่งมีเนย์มาร์รุ่นน้องคนสนิทนำทัพคาสนามในตำนานมาราคานา
การคว้าแชมป์ครั้งนี้ปลดเปลื้องความกดดันให้เมสซีที่หลั่งน้ำตาแบบไม่อายใคร ก่อนจะกลับมาฉลองร่วมกันกับแฟนๆ ที่ให้การยอมรับเขาแบบเต็มหัวใจแล้ว
จนมาถึงฟุตบอลโลกครั้งนี้ แม้อาร์เจนตินาจะแพ้นัดแรกแบบช็อกโลกต่อซาอุดีอาระเบีย แต่สิ่งที่เมสซีพยายามบอกกับแฟนบอลทุกคนคือ “ขอให้อย่าละศรัทธาจากทีมชุดนี้ เราจะไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน”
และเมสซีก็ทำตามคำมั่นที่ให้ไว้จริงๆ
ในวัย 35 ปี เมสซียังดูแลสภาพร่างกายเป็นอย่างดี ดีกว่าหลายปีที่ผ่านมาด้วย
3. ดูแลตัวเองให้ดี
สิ่งที่เมสซีทำให้หลายคนประหลาดใจในฟุตบอลโลกครั้งนี้คือ การที่ถึงจะเข้าสู่วัย 35 ปีแล้ว แต่ยังพลิ้วไหวได้อยู่ มีจังหวะโซโล่สวยๆ หลายครั้งเรียกเสียงฮือฮาจากแฟนบอลได้
รวมถึงจังหวะโยกหลอก ยอสโก กวาร์ดิโอล กองหลังวัย 20 ปีของโครเอเชีย ซึ่งเป็นหนึ่งในกองหลังที่เล่นดีที่สุดในฟุตบอลโลกครั้งนี้จนหลง ก่อนเลื้อยไปส่งบอลให้ ฮูเลียน อัลวาเรซ กองหน้ารุ่นน้องจบสกอร์อย่างสวยงามในเกมรอบรองชนะเลิศ
เมสซีจะทำแบบนี้ไม่ได้แน่หากไม่มีการดูแลสภาพร่างกายของตัวเองมาเป็นอย่างดี ซึ่งสภาพร่างกายของเขาในเวลานี้กลับมาอยู่ในจุดที่น่าจะดีที่สุดในรอบหลายปี ทำให้แม้ความเร็วจะลดลงมากแต่ก็ยังดีเกินพอที่จะลากเลื้อยหลบคู่แข่งได้อย่างพลิ้วไหว
ร่างกายท่อนบนที่ทำมาอย่างแข็งแกร่งทำให้การเบียดแซะนักเตะที่ได้เปรียบในเรื่องศูนย์ถ่วงต่ำยิ่งเป็นไปได้ยากมาก ซึ่งนั่นหมายถึงเมสซีไม่ได้คิดจะใช้พรสวรรค์การเล่นของตัวเองเพียงอย่างเดียว แต่เขาดูแลตัวเองมาเป็นอย่างดีเพื่อให้มีสภาพร่างกายพร้อมที่สุดในศึกที่สำคัญที่สุดของชีวิต
ความเข้มแข็งของอาร์เจนตินาคือการที่พวกเขามีกันและกันเสมอ
4. ข้าไม่ได้มาคนเดียว
ปัญหาหนึ่งของคนที่เก่งมากๆ เก่งแบบโคตรเก่งคือ การที่พวกเขามักจะคิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น ไม่มีใครจะทำได้ดีเท่า
ในบางอย่างบางเรื่องแนวทางแบบ ‘ข้ามาคนเดียว’ มันก็อาจจะใช้ได้ แต่บางทีมันก็พังได้เหมือนกัน ซึ่งกรณีตัวอย่างชัดเจนคือ คริสเตียโน โรนัลโด คู่ปรับฟ้าประทานของเขา ที่ประสบปัญหาอย่างหนักไม่ว่าจะกับสโมสรหรือทีมชาติ เพราะคิดว่าทีมต้องปรับตัวเข้าหา
สำหรับเมสซีถือเป็นโชคดีของชาวอาร์เจนตินาที่เขามาคนละแนว เพราะแม้จะเป็นคีย์แมนคนสำคัญของทีมที่มีความสำคัญสูงสุด จังหวะทีเด็ดทีขาด การตัดสินเกมอย่างไรเสียก็ต้องยกให้ แต่เมสซีไม่คิดที่จะทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว
สิ่งที่เมสซีจะทำคือ การทำประโยชน์ที่สุดให้กับทีม หากมันจะเป็นการต้องยิงประตูเองก็ยิง แต่ถ้าผ่านบอลให้เพื่อนได้ก็ทำ
ด้วยเหตุนี้ทำให้คู่แข่งจับทางอาร์เจนตินาได้ยากขึ้น เพราะงานนี้เมสซีไม่ได้มาคนเดียว แต่ยังมี ฮูเลียน อัลวาเรซ, อเล็กซิส แมค อัลลิสเตอร์, โรดริโก เด ปอล, เอนโซ เฟร์นันเดซ, อังเคล ดิ มาเรีย หรือแม้แต่แบ็กอย่างนาอูเอล โมลินา มาด้วย
จะไปรุมเมสซีคนอื่นก็ว่าง จะไปจับคนอื่นเมสซีก็ว่าง ทำตัวไม่ถูก
ที่สำคัญคือ เมื่อเมสซีเชื่อใจทุกคน ทุกคนก็พร้อมที่จะสู้เพื่อเมสซีเหมือนกัน เหมือนคำขวัญของ ‘สามทหารเสือ’ ในตำนานที่ว่า All for one, One for all
The Last Dance ก็ต้องรอเพลงสุดท้ายเท่านั้น
5. Save the Last Dance
สิ่งสุดท้ายที่มีความสำคัญมากๆ ที่ทำให้เมสซีคว้าแชมป์โลกได้ นั่นคือการรู้จักเก็บทีเด็ดของตัวเองเอาไว้ใช้ในเวลาสำคัญ
พูดง่ายๆ คือเมสซีจะสงวนแรงของตัวเองเอาไว้เพื่อใช้ในวินาทีที่มีความหมายเท่านั้น การเล่นของเขาจึงเป็นการเล่นในแบบน้อยแต่มาก (Less is more) ไม่เก็บบอลไว้กับตัวนาน ไม่เล่นคนเดียว และบ่อยครั้งที่เหมือนเดินเล่นในสวนมากกว่าวิ่งในสนามฟุตบอล
เขาทำแบบนี้เพราะรู้จักตัวเองดีว่าตัวเองในวัย 35 ปีมีแรงแค่ไหน ซึ่งก็โชคดีที่น้องๆ ในทีมพร้อมสู้ตายถวายชีวิตให้ทุกคน ทำให้เมสซีสามารถเก็บแรงที่มีจำกัดของตัวเองเอาไว้เพื่อรอช่วงเวลา ‘Messi Magic Moment’ ที่จะทำให้ทุกคนต้องตะลึง
ลูกยิงไกล 25 หลาในเกมกับเม็กซิโก, ลูกยิงในกรอบเขตโทษในเกมกับออสเตรเลีย, ลูกจ่ายให้โมลินาหลุดเข้าไปยิงในเกมกับเนเธอร์แลนด์, ลูกเลื้อยหนีกวาร์ดิโอลในเกมกับโครเอเชีย และจังหวะเซ็ตอัพเพลย์ประตูที่ 2 ของอาร์เจนตินา กับลูกที่เติมขึ้นไปยิงประตูนำ 3-2 ที่เกือบเป็นประตูชัยในนัดชิงชนะเลิศกับฝรั่งเศส
ไม่นับจังหวะแพรวพราวที่จะถูกงัดมาใช้เป็นระยะแต่ไม่พร่ำเพรื่อ
ประหนึ่งชายหนุ่มที่ยืนอดทนรอหญิงสาวที่แอบรักมานาน เพื่อรอที่จะได้เต้นรำกับเธอในบทเพลงสุดท้ายก่อนที่งานเลี้ยงจะเลิกรา
สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้เด็กชายตัวเล็กๆ จากโรซาริโอ ที่แบกความหวังของคนทั้งประเทศมายาวนานเกือบ 2 ทศวรรษ สามารถทำความฝันให้กลายเป็นความจริงได้