สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ระบุ แม้เศรษฐกิจโลกปี 2566 จะเข้าสู่ภาวะถดถอยจะกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย แต่จะไม่มีผลกระทบภาคการท่องเที่ยวที่กำลังอยู่ในช่วงการฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน ส่วนผู้ว่า ททท. มั่นใจปีหน้าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าเป้า 20 ล้านคน ลุ้นจีนเปิดประเทศหนุนนักท่องเที่ยวเพิ่ม
กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า ในปี 2566 เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) อย่างแน่นอน ขณะที่ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ล่าสุดเดือนพฤศจิกายน ที่ออกมาดีขึ้นอยู่ที่ 7.1% น่าจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ Fed สามารถปรับขึ้นดอกเบี้ยด้วยอัตราที่ชะลอลงได้ ซึ่งจะทำให้ปัญหา Recession ปรับตัวดีขึ้นบ้าง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ตลาดทุนยังขึ้นกับการดำเนินนโนยายการเงินของ Fed ระยะต่อไปว่าจะใช้นโยบายดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับปัญหาเงินเฟ้อต่อรุนแรงมากหรือน้อยอย่างไร
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- เกิดอะไรขึ้นกับ ‘ฮ่องกง’ ทำไมสถานะ ‘ศูนย์กลางทางการเงินของเอเชีย’ กำลังถูกสั่นคลอน และอาจกลายเป็นแค่อดีต
- ส่องกรณีศึกษาการเติบโตของ เศรษฐกิจสิงคโปร์ ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่รออยู่ข้างหน้า
- เปิดจุดเด่น เวียดนาม หลังจ่อขึ้นแท่นประเทศที่คว้าชัยในยุค Deglobalization
ขณะที่ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม คือผลการประชุมดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่กำลังจะออกมาในคืนนี้ 14 ธันวาคม (ตามเวลาสหรัฐฯ) ว่าจะตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยในอัตราเท่าไร รวมถึงตัวเลข Dot Plot ในปี 2566 และการสื่อสารข้อมูลส่งสัญญาณในการกำหนดนโนบายการของประธาน Fed ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางของตลาดหุ้นและเศรษฐกิจโลกในระยะถัดไป
อย่างไรก็ดี แม้ในปี 2566 โลกจะเข้าสู่ Recession ยังเชื่อว่าภาคการท่องเที่ยวของไทยในปี 2566 จะมีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวเอเชียที่เศรษฐกิจยังเติบโตได้ดีจะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักที่ยังมีความสามารถในการจับจ่ายใช้สอย และต้องการเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทย รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มีโอกาสจะเห็นการกลับมาต่อเนื่องในปี 2566 ซึ่งจะทดแทนนักท่องเที่ยวชาวยุโรปกับสหรัฐฯ ที่จะเข้าสู่ภาวะ Recession
ดังนั้น มีโอกาสที่จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในปีหน้าจะมีตัวเลขถึง 18-20 ล้านคนหรืออาจสูงกว่านั้นได้ จากปีนี้อยู่ที่ 11 ล้านคน โดยเฉพาะหากจีนเปิดประเทศแล้วไทยถือเป็นเป้าหมายแรกๆ ในการท่องเที่ยวของชาวจีน
“Recession ปีหน้าเกิดขึ้นแน่ๆ จะเกิดกับหลายประเทศทั่วโลก ทั้งในยุโรปกับสหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยแน่ๆ ส่วนภาคการท่องเที่ยวของไทยส่วนมากเป็นนักท่องเที่ยวเป็นชาวเอเชียที่เศรษฐกิจยังเติบโตดี โดยเฉพาะท็อป 5 มีทั้ง มาเลเซีย, อินเดีย, สิงคโปร์, ลาว, กัมพูชา และเวียดนาม ซึ่งคนกลุ่มนี้ยังมีกำลังเที่ยวได้ รวมถึงชาวรัสเซียกับตะวันออกกลาง ก็มีรายได้ที่ดีจากการขายน้ำมันก็ยังต้องการการเที่ยวไทย ถ้าชาวจีนกลับมาน่าจะช่วยให้ภาคท่องเที่ยวไทยไปได้ดีมาทดแทนตลาดสหรัฐฯ กับยุโรปได้”
ทั้งนี้ หากภาคการท่องเที่ยวของไทยในปี 2566 ฟื้นตัวตามที่ ททท. ประเมินไว้ หุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์มากที่สุดคือ กลุ่มที่มีความลำบากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ 1. กลุ่มโรงแรม 2. กลุ่มภัตตาคาร 3. กลุ่มขนส่ง อีกทั้งที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มดังกล่าวยังมีราคาที่ปรับขึ้นที่ช้ากว่าเมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่นๆ เพราะที่ผ่านมาบริษัทภาคการท่องเที่ยงหลายแห่งยังมีปัญหาหนี้เสียหรือภาระทางการเงิน เช่น ธุรกิจสายการบิน
“หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวจะเป็นโอกาสในการทำกำไรที่ดีขึ้น เพราะตอนนี้จะเห็นได้ว่าราคาห้องพักเริ่มทยอยดีขึ้นมาเรื่อยๆ ขณะที่ราคาตั๋วเครื่องบินในช่วงนี้ก็มีราคาแพงขึ้นเป็นพิเศษ ตัวอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวทั้งหมดเชื่อว่าจะได้อานิสงส์ตรงนี้ตามไปด้วย”
นอกจากนี้ กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติสำคัญทั้งชาวจีน, อินเดีย, กลุ่มตะวันออกกลางที่มีโอกาสที่จะเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยอย่างต่อเนื่องในปีหน้าตามแผนของ ททท. ก็จะเป็นปัจจัยบวกช่วยขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวของไทยได้ต่อเนื่อง โดยจะมาช่วยเสริมและบรรเทาผลกระทบจากภาคอุตสาหกรรมการผลิตของไทยที่จะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่จะถดถอย ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการคาดการณ์ผลกำไรของ บจ. รวมถึงมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมในตลาดหุ้นไทย
ดังนั้น ประเมินว่าภาพรวมดัชนีหุ้นไทยจะยังได้รับอานิสงส์ต่อการฟื้นของภาคการท่องเที่ยว รวมถึงไทยยังอยู่ในกลุ่มอาเซียนที่เศรษฐกิจยังขยายตัวได้ดีจึงยังถือว่าการลงทุนในหุ้นไทยยังถือเป็น Safe Haven รวมถึงการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดีอีกด้านยังสนับสนุนค่าเงินบาทด้วย
ด้าน ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า มีความมั่นใจจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่จะเดินทางมาไทยในปี 2566 เป็นไปตามที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายจะอยู่ประมาณ 18-20 ล้านคน หรือมีสัดส่วน 50% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีรวม 40 ล้านคนในปี 2562 ก่อนที่จะมีโควิดระบาด โดยตัวเลขดังกล่าวยังไม่ได้นับรวมโอกาสที่นักท่องเที่ยวชาวจีนจะกลับมาเที่ยวไทยได้ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคมปีหน้า และตั้งเป้ารายได้จากการท่องเที่ยวปี 2566 อยู่ที่ 2.38 ล้านล้านบาท หรือมีสัดส่วน 80% ของรายได้รวม 3 ล้านล้านบาทที่ทำได้ในปี 2562 ซึ่งมีสัดส่วนถึง 17% ของ GDP ไทย
สำหรับตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมีการทยอยฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 11.5 ล้านคน หรือทำรายได้รวมที่ 1.5 ล้านล้านบาท หรือมีสัดส่วน 50% ของรายได้ในปี 2562 ขณะที่ตัวเลขล่าสุดถึงวันที่ 12 ธันวาคมปีนี้ มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 10.3 ล้านคนแล้ว จากปี 2564 อยู่ที่ราว 4 แสนคน ปี 2563 อยู่ที่ 6.7 ล้านคน ขณะที่ตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ดีขึ้น
เนื่องจากนโนยบายของภาครัฐที่พยายามเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ซึ่งออกหลายมาตราการที่อำนวยความสะดวกและผ่อนคลายข้อจำกัดในการเดินทางเข้ามาไทย โดยปัจจุบันมีตัวเลขเฉลี่ยนักเที่ยวเฉลี่ยมาไทยอยู่ที่ 60,000-70,000 คนต่อวัน กลุ่มหลักเป็นชาวมาเลเซีย, สิงคโปร์, อินเดีย, ลาว, กัมพูชา และที่น่าสนใจคือมีกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียทยอยเดินทางมาไทยเพิ่มขึ้น
อีกทั้งพบข้อมูลว่าในช่วงไตรมาส 1/65 นักท่องเที่ยวมียอดการใช้จ่ายต่อคนต่อทริปสูงขึ้นเป็น 77,000 บาท เพราะเข้ามาเที่ยวไทยเป็นระยะเวลานาน ขณะที่ไตรมาส 2/65 ลดลงมาเหลือ 55,000 บาทต่อคนต่อทริป เพราะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวระยะใกล้ชาวอาเซียนที่มาแทนกลุ่มยุโรป แต่ยังถือว่าสูงกว่าช่วงสถานการณที่โควิดระบาด ที่มียอดการใช้จ่ายต่อคนต่อทริปอยู่ที่ 48,000 บาท
“ตัวเลขที่ออกมาการท่องเที่ยวของไทยถือว่าเป็นหารฟื้นตัวแบบ V Shape ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ฟื้นตัวเร็วที่สุดในโลก เพราะมีตัวเลขเฉลี่ยที่ 1.5 ล้านคนต่อเดือนกับ 60,000-70,000 คนต่อวัน ถือว่าใกล้เคียงกับตัวเลขของปี 2562 แล้ว”
ยุทธศักดิ์กล่าวต่อว่า หลังจากที่ช่วงต้นปี 2565 ที่ผ่านมา รัฐบาลไทยเดินทางไปฟื้นความสัมพันธ์กับรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ชาวซาอุดีอาระเบียเดินทางมาไทยเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 91,707 คน ขึ้นมาอันดับที่ 22 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาไทย ด้วยโอกาสดังกล่าว ททท. จึงมีแผนที่จะตั้งสำนักงานในประเทศซาอุดีอาระเบีย
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามีแผนที่ขยายระยะเวลาให้ชาวต่างชาติมีระยะเวลาพำนักในประเทศไทยได้ยาวนานขึ้น จากเดิมที่จะครบกำหนดในวันที่ 31 มีนาคม 2566 โดยจะขยายเวลายาวไปถึงสิ้นปี 2566 ได้แก่
- Visa on Arrival ขยายระยะเวลาจากเดิมอยู่ได้ไม่เกิน 15 วัน เป็นไม่เกิน 30 วัน
- ขยายเวลาวีซ่าของชาวต่างชาติ 30 วัน ขยายเป็นไม่เกิน 45 วัน