วันนี้ (13 ธันวาคม) นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตรองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand ถึงสาเหตุที่ลาออกจากพรรคสร้างอนาคตไทย และเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ
นิพิฏฐ์กล่าวว่า การลาออกจากพรรคสร้างอนาคตไทยมาจากเรื่องการรวมพรรค ซึ่งเป็นเรื่องที่ตนรับไม่ได้ โดยเงื่อนไขของตนนั้น หากจะรวมกับพรรคอื่นจะต้องมี สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานที่ปรึกษาพรรคสร้างอนาคตไทย ต้องเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนที่ 1 และต้องมี อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย ต้องเป็นหัวหน้าพรรคใหม่ด้วย ซึ่งปรากฏว่าหารือกันนานแล้วแต่เรื่องก็ยังไม่คืบหน้า
“ผมมองว่ารับไม่ได้ หากไม่เป็นไปตามที่ผมพูด ที่ผ่านมาผมพูดในพรรคอย่างชัดเจนตลอดว่าหากรวมกันแล้วต้องเป็นสมคิดเป็นแคนดิเดตเบอร์ 1 และอุตตมต้องเป็นหัวหน้าพรรค” นิพิฏฐ์กล่าว
ส่วนการทำงานร่วมกับ สุรนันทน์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทยหรือไม่ นิพิฏฐ์กล่าวว่า ไม่มีปัญหา ตนกับสุรนันทน์คุยกันรู้เรื่อง ไม่มีปัญหากัน แม้ในอดีตจะอยู่คนละขั้วกัน
ผู้ดำเนินรายการถามต่อว่า คุยกับสุรนันทน์รู้เรื่อง แต่กับ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย ไม่รู้เรื่องใช่หรือไม่ นิพิฏฐ์กล่าวว่า อันนี้ก็ไม่ขอตอบ
ส่วนกรณีที่เลือกเข้าพรรคพลังประชารัฐนั้น นิพิฏฐ์กล่าวว่า ตนบอกเสมอว่าตนเป็นนักรบ ไม่ใช่ทหาร จะไม่สู้ในสงครามที่ไม่มีวันชนะ เว้นแต่สงครามศักดิ์สิทธิ์ ผมจะสู้ในสงครามที่ชนะเท่านั้น สงครามการเมืองเป็นสงครามสีเทา สงครามที่ชั่วช้า การเมืองวันนี้เลวทรามที่สุด
ผู้ดำเนินรายการถามว่า ทำไมไม่ล้างมือเมื่อบอกว่าเลวทราม นิพิฏฐ์กล่าวว่า ตนบอกว่าหากตนเป็นแม่ทัพ ตนต้องตายคาสนามรบ ไปที่ไหนลูกน้องต้องมีที่ยืน ไปแล้วตนอาจถอยออกมาก็ได้ ตนอยู่การเมืองมา 31 ปี ปี 2566 เป็นสงครามการเมืองที่สกปรกมากที่สุด ใช้เงินมากที่สุด ไม่เคยมีแบบนี้มาก่อน
“ถ้าพรรคที่ผมอยู่ปัจจุบันเขาไม่ชูแนวเศรษฐกิจอย่างที่ผมบอก ลูกน้องผมก็ไม่อยู่ ลูกน้องผมไม่ที่อยู่ ผมเอาเขามาตายแบบนี้ไม่ได้ ผมต้องหาที่ยืนให้เขา ต้องมีโอกาสได้สู้ แพ้ชนะไม่รู้ แต่คุณต้องสู้ ผมจะหาโอกาสให้คุณสู้ให้ได้” นิพิฏฐ์กล่าว
นิพิฏฐ์กล่าวตบท้ายว่า ตนจึงต้องมาอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ เพื่อมาหาที่ยืนให้ลูกน้องทั้ง 30 ชีวิต ที่เปิดตัวที่ภาคใต้ 30 คน แม้จะมีการทับซ้อนกันบ้าง ก็ต้องไปเคลียร์กัน