ฟุตบอลโลก 2022 ที่สนามอัล บายต์ สเตเดียม เป็นเกมในรอบ 8 ทีมสุดท้าย คู่บิ๊กแมตช์ เป็นการพบกันระหว่างอังกฤษ ในเสื้อสีขาว พบกับฝรั่งเศส เสื้อสีน้ำเงิน
เกมนี้อังกฤษมาในระบบ 4-3-3 โดยที่ จอร์แดน พิกฟอร์ด เป็นผู้รักษาประตู กองหลัง 4 คนมี ไคล์ วอล์กเกอร์, จอห์น สโตนส์, แฮร์รี แม็กไกวร์, ลุค ชอว์ กองกลาง 3 ประสานใช้ ดีแคลน ไรซ์, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, จูด เบลลิงแฮม ขณะที่แนวรุก 3 คนเป็น บูกาโย ซากา, ฟิล โฟเดน และ แฮร์รี เคน
ขณะที่ฝรั่งเศสมาในระบบ 4-2-3-1 เหมือนเดิม โดยที่ อูโก โญริส เป็นผู้รักษาประตู กองหลัง 4 คนมี ชูลส์ กุนเด, ราฟาแอล วาราน, ดาโยต์ อูปาเมกาโน, เตโอ เอร์นานเดซ ตัวรับ 2 คนคือ โอเรลีแย็ง ชูอาเมนี กับ อาเดรียง ราบิโอต์ ตัวรุก 3 ประสานได้แก่ อุสมาน เดมเบเล, อองตวน กรีซมันน์, คีเลียน เอ็มบัปเป โดยที่ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ เป็นกองหน้าตัวเป้า
เริ่มเกมได้ 17 นาที ฝรั่งเศสขึ้นนำก่อน จากการทำเกมขึ้นมาของแชมป์เก่า ก่อนที่ อองตวน กรีซมันน์ จะแตะบอลให้ โอเรลีแย็ง ชูอาเมนี ยิงจากแถวสอง บอลเสียบโคนเสาฝั่งซ้ายเข้าไปให้ ‘ตราไก่’ ออกนำก่อน 1-0
หลังจากถูกนำ อังกฤษก็บุกหนัก นาทีที่ 21 ก็มาได้ลุ้นจากฟรีคิกระยะหวังผลบริเวณหน้ากรอบเขตโทษ ลุค ชอว์ ยิงบอลผ่านกำแพง แต่ยังไปตรงตัว อูโก โญริส รับบอลเอาไว้ได้
นาทีต่อมา อังกฤษได้โอกาสทอง เมื่อ บูกาโย ซากา แทงบอลให้ แฮร์รี เคน คล้องบอลผ่าน ดาโยต์ อูปาเมกาโน ก่อนหลุดไปยิงจ่อๆ แต่ อูโก โญริส ก็ออกมาเร็วพอที่จะป้องกันจังหวะนี้ไว้ได้
นาทีที่ 29 อังกฤษได้ลุ้นตีเสมออีกครั้ง เมื่อ แฮร์รี เคน ลองยิงไกลจากนอกกรอบ แต่ อูโก โญริส ยังบินปัดบอลออกหลังไปได้
นาทีที่ 39 หลังจากโดนอังกฤษบุกใส่อย่างหนัก ฝรั่งเศสก็ได้มีโอกาสลุ้นประตูที่ 2 บ้าง เมื่อ เตโอ เอร์นานเดซ ผ่านบอลเข้ากลางให้ คีเลียน เอ็มบัปเป วอลเลย์แถวจุดโทษ แต่บอลโดนเหลี่ยมไม่ดี ข้ามคานออกหลังไปไกล ทำให้จบครึ่งแรก ฝรั่งเศสนำอังกฤษ 1-0
ครึ่งหลัง นาทีที่ 47 อังกฤษได้ลุ้นตีเสมออีกครั้งจากการยิงไกลของ จูด เบลลิงแฮม จากหน้ากรอบเขตโทษ แต่ อูโก โญริส ยังบินปัดออกหลังไปได้
นาทีที่ 52 อังกฤษมาได้ลูกที่จุดโทษ เมื่อ โอเรลีแย็ง ชูอาเมนี ไปขัดขา บูกาโย ซากา ในกรอบเขตโทษ แฮร์รี เคน รับหน้าที่สังหาร ก่อนยิงเข้าไปอย่างเฉียบขาด ตีเสมอเกมนี้เป็น 1-1
นาทีที่ 55 ฝรั่งเศสพยายามตอบโต้ จากการเปิดบอลยาวจากแดนหลังให้ อาเดรียง ราบิโอต์ ได้ยิงแถวหน้ากรอบเขตโทษ แต่ จอร์แดน พิกฟอร์ด ยังล้มตัวปัดบอลออกไปได้
นาทีที่ 60 อังกฤษได้ลุ้นแซงนำจากการลากบอลขึ้นมาของ บูกาโย ซากา ก่อนได้ยิงในเขตโทษ แต่บอลบดและไปตรงตัว อูโก โญริส ล้มตัวรับไว้ได้
นาทีที่ 70 อังกฤษเกือบมาได้ประตูขึ้นนำจากจังหวะเปิดฟรีคิกของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน มาให้ แฮร์รี แม็กไกวร์ ได้โหม่งลุ้นประตู แต่บอลชนโคนเสาออกหลังไปอย่างหวุดหวิด
นาทีที่ 72 เป็นโอกาสอีกครั้งของอังกฤษ เมื่อ ลุค ชอว์ ผ่านบอลเข้ากลางให้ บูกาโย ซากา พยายามชาร์จจ่อๆ แต่บอลหลุดกรอบออกไป โดยก่อนหน้าผู้ตัดสินจับฟาวล์ ซากา ไปก่อนแล้วด้วย
นาทีที่ 77 ฝรั่งเศสพลาดโอกาสทองในการขึ้นนำอีกครั้ง เมื่อ อุสมาน เดมเบเล โหม่งบอลให้ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ได้ยิงจ่อๆ แต่บอลก็ยังไปติดเซฟของ จอร์แดน พิกฟอร์ด ปัดออกหลังไปได้
อย่างไรก็ตาม ในนาทีที่ 78 ฝรั่งเศสมาออกนำอีกครั้งจนได้ 2-1 เมื่อ อองตวน กรีซมันน์ เปิดบอลจากฝั่งซ้ายนอกกรอบเขตโทษเข้ามาในกรอบ ก่อนที่ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ จะมาโหม่งบอลแฉลบ แฮร์รี แม็กไกวร์ เข้าไป
นาทีที่ 82 อังกฤษมาได้ลูกที่จุดโทษ เมื่อ เดโอ เอร์นานเดซ ไปกระแทก เมสัน เมาท์ ล้มในกรอบเขตโทษ จังหวะแรก ผู้ตัดสินไม่ให้เป็นจุดโทษ ก่อนไปเรียกดู VAR แล้วกลับคำตัดสิน ก่อนที่ แฮร์รี เคน จะรับหน้าที่สังหาร แต่คราวนี้ เคน ยิงบอลเหินข้ามคานออกไป ทำให้อังกฤษยังไม่ได้ประตูตีเสมอ
นาทีที่ 90+10 อังกฤษได้ลุ้นตีเสมอจากฟรีคิกระยะหวังผล บอลโค้งข้ามกำแพงชนิดที่ อูโก โญริส ได้แต่ยืนมอง แต่ไปตกบนคานเท่านั้น โดยหลังจากจังหวะนี้ ผู้ตัดสินก็เป่าจบเกมทันที ทำให้ฝรั่งเศสเอาชนะอังกฤษ 2-1 ทะลุเข้ารอบรองชนะเลิศพบโมร็อกโกต่อไป