วันนี้ (1 ธันวาคม) ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง แถลงข่าวเปิดเผยข้อมูลเครือข่ายกลุ่มนายทุนจีนสีเทา ต่อเนื่องจากช่วงเช้าที่ผ่านมาที่ได้ไปยื่นเอกสารหลักฐาน อาทิ บัญชีเส้นทางการเงินเพิ่มเติมกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ชูวิทย์กล่าวว่า ตนได้รับข้อมูลของ ชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือ ตู้ห่าว จากพยานคนสำคัญที่เป็นอดีตคนใกล้ชิดของตู้ห่าวแต่ขัดผลประโยชน์กัน เนื่องจากตู้ห่าวไม่จ่ายค่าจ้าง บุคคลนี้จึงติดต่อมาหาตน ดังนั้นตนจึงมีข้อมูลจำนวนมากที่จะทยอยให้ตำรวจนำไปสืบสวนต่อ
ทั้งนี้ ชูวิทย์ได้เปิดเผยข้อมูลของบุคคลที่เป็นนอมินีคนสำคัญของตู้ห่าว ซึ่งใช้ชื่อว่า พัชรินทร์ เป็นคนไทยที่คอยดำเนินการธุรกรรม เอกสารต่างๆ แทน โดยชูวิทย์ได้แสดงหลักฐานเอกสารเกี่ยวกับเส้นทางการเงิน
เช่น เอกสารสัญญาการซื้อขายที่ดินมูลค่ากว่า 400 ล้านบาท เมื่อปี 2563 ที่ตู้ห่าวให้พัชรินทร์เป็นผู้ดำเนินการแทน มีลายเซ็นพัชรินทร์ลงนามเป็นผู้ซื้อ และระบุว่ารับมอบอำนาจจากตู้ห่าว, หลักฐานการโอนเงินระหว่างตู้ห่าวกับพัชรินทร์ครั้งละ 3-5 ล้านบาทอีกหลายครั้ง และสำเนาเช็คที่พัชรินทร์เป็นคนเซ็นจ่ายแทนตู้ห่าว ซึ่งชูวิทย์ได้ตั้งคำถามว่า หากตู้ห่าวทำธุรกิจที่ถูกกฎหมาย ทำไมถึงต้องใช้นอมินีมาถือครองทรัพย์สินและทำธุรกรรมทางการเงินแทน
นอกจากนี้ ชูวิทย์กล่าวว่า ตนมีข้อมูลส่วนของการออกหนังสือเดินทาง (วีซ่า) ให้คนจีนเข้ามาอยู่ในไทย นายทุนจีนเหล่านี้ได้ซื้อโรงเรียนสอนภาษาไทยให้คนจีนอยู่ และรับรองการอยู่ในไทยในฐานะนักศึกษา ทำให้ไปต่อวีซ่าได้ตลอด และยังได้เปิดเผยภาพถ่ายของ หลินหลง อดีตที่ปรึกษาสมาคมพ่อค้าไทย ที่ร่วมถ่ายภาพกับข้าราชการหลายคน และใส่ชุดคล้ายทหาร ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ใช้อ้างตัวเป็นผู้มีอิทธิพลกับกลุ่มคนจีน และลักลอบตั้งสมาคมอีกหลายแห่งขึ้นมาเพื่อทำให้มีความน่าเชื่อถือ
ชูวิทย์กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า นอกจากกลุ่มทุนจีนจะเข้ามาทำธุรกิจที่ผิดกฎหมาย และพยายามที่จะอยู่ในไทยอย่างผิดกฎหมายแล้ว ยังพบว่ามีการทำสิ่งที่กระทบต่อความมั่นคงต่อประเทศไทยเป็นอย่างมาก โดยที่ชูวิทย์ใช้คำว่า ‘อุ้มท้องซื้อพ่อ’ ซึ่งรายละเอียดจะขอแถลงในครั้งต่อไป
ในช่วงหนึ่งของการแถลง ชูวิทย์ได้เปิดเผยภาพถ่ายการก่อสร้างบ้านขนาดใหญ่กลางเขาในจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ ที่ได้ข้อมูลมาว่าสิ่งปลูกสร้างนี้ใช้เงินจากหน่วยงานปราบปรามยาเสพติดของต่างประเทศเพื่อมาสนับสนุนหน่วยงานยาเสพติดของไทย แล้วนำเงินไปสร้างบ้านกลางป่า คล้ายกับกรณีของการสร้างบ้านพักอัยการที่จังหวัดเชียงใหม่ก่อนหน้านี้ แต่รายละเอียดยังไม่ขอเปิดเผย
ชูวิทย์ได้ตั้งคำถามไปถึงสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ว่าเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจในการตรวจยึดอายัดทรัพย์สินคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด แต่ทำไมถึงไม่เข้าไปตรวจค้นในเครื่องบินส่วนตัว มีเพียงการเข้าไปตรวจยึด ซึ่งหากตรวจค้นอาจจะได้ข้อมูลหรือหลักฐานบางอย่างที่สำคัญทางคดีเพิ่มเติม
หลังจบการแถลงข่าว ชูวิทย์ได้ทำพิธีเผาพริกเผาเกลือ โดยบอกว่าทำเพื่อสาปแช่งผู้ที่พูดกล่าวหาว่าการออกมาเปิดเผยข้อมูลของตนมีคนอยู่เบื้องหลัง และผู้ที่คิดจะขัดขวางกระบวนการข้อเท็จจริงในคดีนี้ ซึ่งชูวิทย์ยืนยันว่าการออกมาเปิดเผยข้อมูลทุนจีนสีเทาก็เพื่อต้องการปกป้องประเทศ ไม่ได้มีบุคคลใดอยู่เบื้องหลัง