วันนี้ (26 พฤศจิกายน) ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า บริษัท S&P Global Ratings (S&P) ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) ที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook)
ซึ่งถือเป็นข่าวดีของประเทศไทยที่ได้ภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาชาวโลกและจะดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก เนื่องจาก S&P ถือเป็นบริษัทในเครือของ S&P Global Inc. สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลก
ทิพานันกล่าวต่อไปว่า จากรายงานของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ระบุเหตุผลสำคัญที่ S&P คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยมาจากการคลี่คลายของสถานการณ์การระบาดของโรคโควิดตลอดจนการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดโควิด
และอนุญาตให้มีการเดินทางเข้าราชอาณาจักรไทย รวมทั้งการที่ประชาชนได้รับวัคซีนป้องกันโควิดอย่างทั่วถึง เป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการเติบโตของเศรษฐกิจไทย
ทิพานันกล่าวว่า S&P คาดว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นจาก 428,000 คนในปี 2564 เป็นประมาณ 10 ล้านคนในปี 2565 ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ และเศรษฐกิจไทย (Real GDP) จะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากร้อยละ 2.9 ในปี 2565 เป็นเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 3.2 ในช่วงปี 2565-2568
นอกจากนี้ การสนับสนุนการลงทุนอย่างต่อเนื่องตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ เช่น โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor) และโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
เป็นปัจจัยที่ S&P มองว่าจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป ขณะที่ภาคการคลังมีเสถียรภาพ จากการลดการใช้จ่ายภาคการคลังตามสถานการณ์การระบาดที่คลี่คลาย รวมทั้งการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งหนี้ภาครัฐบาลสุทธิและต้นทุนการกู้เงินมีเสถียรภาพ จึงทำให้เศรษฐกิจแข็งแกร่งขึ้น ขาดดุลงบประมาณลดลง และหนี้ภาครัฐบาลจะทยอยลดลงในระยะ 3 ปีข้างหน้า
ส่วนภาคการเงินต่างประเทศ พบว่าแม้ประเทศไทยจะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดตลอด 2 ปีที่ผ่านมา แต่สถานการณ์การระบาดที่คลี่คลายส่งผลให้การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาเป็นปกติ ภาคการท่องเที่ยวของประเทศฟื้นตัว อีกทั้งทุนสำรองระหว่างประเทศและสภาพคล่องของไทยยังอยู่ในระดับสูงและแข็งแกร่ง S&P คาดว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดจะกลับมา เกินดุลเฉลี่ยร้อยละ 2.1 ของ GDP ในปี 2566-2568
ทิพานันกล่าวว่า จากมุมมองของ S&P สะท้อนว่า การดำเนินการมาตรการในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาถูกทาง ทำให้เศรษกิจฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม และวางรากฐานสร้างโอกาสให้กับประเทศไทยเติบโตแบบก้าวกระโดดในอนาคต
การเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของรัฐบาล อยู่ในสายตาของชาวโลก ซึ่งจะเร่งผลักดันให้เกิดการลงทุนจริงในพื้นที่ ในโครงการหลักๆ ได้แก่ รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 โครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ที่จะนำมาซึ่งการสร้างงานสร้างรายได้ กระจายความเจริญและพัฒนาอย่างยั่งยืน