วันนี้ (24 พฤศจิกายน) พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติภารกิจที่จังหวัดเชียงใหม่ ในช่วงเช้าเป็นประธานเปิดการอบรมสัมมนา ‘การพัฒนาศักยภาพของท้องถิ่นสู่ความเป็นเมือง ตามหลักการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นไทย’ จัดโดยสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย พร้อมกล่าวปาฐกถา ‘บทบาท อบต. กับการพัฒนาฐานรากประเทศไทย’ ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จังหวัดเชียงใหม่
จากนั้นได้เดินทางไปยังบริเวณถนนนิมมานเหมินทร์ ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ เพื่อติดตามความก้าวหน้าการดำเนินโครงการพัฒนาเมืองและการจัดระเบียบสายไฟและสายสื่อสารในพื้นที่ถนนนิมมานเหมินทร์ ต่อด้วยเดินทางไปยังสะพานระแกง บริเวณคลองแม่ข่า ตำบลช้างคลาน อำเภอเมืองเชียงใหม่ เพื่อติดตามความก้าวหน้าการดำเนินโครงการก่อสร้างระบบรวบรวมน้ำเสียสองฝั่งคลองแม่ข่า พร้อมปรับปรุงภูมิทัศน์
พล.อ. อนุพงษ์กล่าวว่า การปรับปรุงภูมิทัศน์ในตัวเมือง ซึ่งมีคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ผู้ประกอบการ รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมกันดูแลและพัฒนานั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องเร่งดำเนินการ แม้เชียงใหม่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวสูง แต่การแพร่ระบาดของโรคโควิดส่งผลให้ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก บางรายถึงขั้นไม่มีรายได้ ในขณะที่ยังต้องแบกรับภาระด้านค่าใช้จ่ายอยู่
ล่าสุดสถานการณ์โควิดคลี่คลายลง มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามายังจังหวัดเชียงใหม่เพิ่มขึ้น ทำให้จังหวัดท่องเที่ยวทุกแห่ง โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ต้องปรับปรุงภูมิทัศน์ของเมืองทุกด้าน ได้แก่ การทำความสะอาด การตกแต่ง และการจัดระเบียบสายไฟฟ้าและสายสื่อสารให้เรียบร้อย พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวและสร้างความประทับใจแก่ผู้ที่เดินทางมาเยือน
นอกจากนั้น การป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ถือเป็นเป้าหมายสำคัญ ซึ่งได้สั่งการไปยังทุกจังหวัดทั่วประเทศให้ดำเนินการตามมาตรการภายใต้กรอบของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เน้นแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุของการเกิดหมอกควันไฟป่า ทั้งการเผาในที่โล่ง การจราจร โรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงการก่อสร้าง
ทั้งนี้ พล.อ. อนุพงษ์ได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง จะต้องเข้าไปดูแลและลดสาเหตุการเกิดหมอกควันไฟป่าตั้งแต่ต้นทาง พร้อมสร้างความตระหนักและความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนในพื้นที่ถึงการบริหารจัดการเชื้อเพลิง ซึ่งหากเป็นพื้นที่ทำกิน ขอให้นำวัสดุทางการเกษตรไปแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงแทนการเผา ส่วนในพื้นที่ป่าจะต้องไม่มีการเผาอย่างเด็ดขาด
เรื่องและภาพ: พงศ์มนัส ทาศิริ