มาถึงโค้งสุดท้ายแล้วก่อนศึกเลือกตั้งกลางเทอมปี 2022 จะเปิดคูหาในวันที่ 8 พฤศจิกายน ซึ่งเราจะมาวิเคราะห์กันว่าพรรคเดโมแครตหรือรีพับลิกันจะเป็นผู้มีชัยกุมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
-
ชาวอเมริกันชอบเลือกพรรคตรงข้ามไปคานอำนาจ
โดยปกติแล้วพรรคของประธานาธิบดีมักเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในศึกการเลือกตั้งกลางเทอม เพราะชาวอเมริกันไม่ชอบให้พรรคใดพรรคหนึ่งครองอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด (จะยกเว้นก็แต่ในกรณีที่ตัวประธานาธิบดีเองได้รับความนิยมสูงมากๆ อย่างเช่นในกรณีของ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ในการเลือกตั้งปี 2002 ที่เขาได้รับคะแนนนิยมอย่างสูงจากภาวะผู้นำหลังเหตุวินาศกรรมที่ตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ หรือเหตุการณ์ 9-11)
ดังนั้นในการเลือกตั้งครั้งนี้ นักวิเคราะห์ทางการเมืองก็วิเคราะห์กันแต่แรกอยู่แล้วว่าพรรครีพับลิกันน่าจะชนะเลือกตั้งและกลายมาเป็นฝ่ายครองเสียงข้างมากได้ทั้งที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
-
การกลับคำตัดสินคดี Roe v. Wade จะเป็นจุดเปลี่ยนหรือไม่?
อย่างไรก็ดี ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ศาลสูงสุดของประเทศสหรัฐอเมริกา หรือ Supreme Court ได้ออกคำพิพากษาใหม่เพื่อเป็นการล้มล้างคำพิพากษาเดิมในคดี Roe v. Wade ที่ปกป้องสิทธิในการทำแท้งในช่วงแรกของการตั้งครรภ์แก่สตรีทั่วประเทศมากว่า 50 ปี ทำให้ในตอนนี้การทำแท้งกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมายไปเสียแล้วใน 18 มลรัฐ
ซึ่งการกลับคำตัดสินของคดี Roe v. Wade นี้ทำให้ฐานเสียงของพรรคเดโมแครตซึ่งมีจุดยืนในการปกป้องสิทธิสตรีนั้นโกรธแค้นมาก ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นอย่างดีให้พวกเขาอยากออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง รวมถึงคนที่อยู่กลางๆ จำนวนหนึ่งก็เอนเอียงมาเทคะแนนให้เดโมแครต (เพราะคนอเมริกันกว่า 2 ใน 3 ไม่เห็นด้วยกับการแบนการทำแท้งในระยะครรภ์ไตรมาสที่หนึ่ง) ทำให้คะแนนนิยมของผู้สมัครจากเดโมแครตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน จนดูเหมือนว่าพวกเขาน่าจะรักษาเสียงข้างมากในสภาสูงไว้ได้ และมีโอกาสพอสมควรที่จะรักษาสภาผู้แทนราษฎรไว้ได้ด้วย
-
แต่สุดท้ายแล้วการเมืองก็คือเรื่องปากท้อง
อย่างไรก็ดี เมื่อการหาเสียงเลือกตั้งมาถึงช่วงโค้งสุดท้าย คะแนนนิยมของผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันได้พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก ด้วยแผนการหาเสียงที่มุ่งเน้นไปที่เรื่องปากท้องเป็นหลัก โดยพรรครีพับลิกันได้พยายามชี้ให้ชาวอเมริกันเห็นว่านโยบายการใช้เงินแบบมือเติบของ โจ ไบเดน (1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจจากโควิด และอีก 1.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการลงทุนโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน) นั้นเป็นการบริหารจัดการงบประมาณแผ่นดินที่ผิดพลาด ทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อสูงสุดในรอบ 40 ปี จนเกิดปัญหาข้าวยากหมากแพงจนประชาชนเดือดร้อนไปทั่ว
นอกจากนี้ รีพับลิกันก็ยังโจมตีไบเดนและเดโมแครตว่าเป็นพวกไม่เอาจริงเอาจังกับการปราบปรามอาชญากรรม โดยเอาเรื่องที่พรรคพยายามจะลดงบประมาณของตำรวจ และการที่ไบเดนประกาศให้อภัยโทษกับนักโทษคดีกัญชามาเป็นเครื่องมือในการโจมตี
ซึ่งการโจมตีของรีพับลิกันก็ดูเหมือนจะได้ผล เพราะคะแนนนิยมของไบเดนในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมาอยู่แค่ที่ประมาณ 40-42% เท่านั้น ซึ่งเป็นระดับเดียวกับทรัมป์ก่อนที่รีพับลิกันจะพ่ายแพ้การเลือกตั้งกลางเทอมในปี 2018 ที่พวกเขาเสียที่นั่งในสภาล่างไปถึง 40 ที่นั่ง
เช่นเดียวกัน คะแนนนิยมโดยรวมของผู้สมัครของเดโมแครตจากที่เคยนำผู้สมัครจากรีพับลิกันที่เกือบๆ 3% ในช่วงหลังการกลับคำตัดสินคดี Roe v. Wade ก็กลายมาเป็นรีพับลิกันนำที่ประมาณ 2% แทน
-
รีพับลิกันมีโอกาสสูงมากที่จะชนะที่สภาล่าง แต่สภาสูงยังไม่แน่นอน
ด้วยคะแนนนิยมโดยรวมที่สูงกว่า ตอนนี้ก็ค่อนข้างจะแน่นอนแล้วว่ารีพับลิกันน่าจะกลายมาเป็นฝ่ายครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร (ยกเว้นแต่ว่าผลโพลจะผิดพลาดและประเมินความนิยมของผู้สมัครจากเดโมแครตต่ำเกินไป)
แต่อย่างไรก็ดี ในส่วนของวุฒิสภานั้น เดโมแครตยังมีโอกาสจะรักษาเสียงข้างมากไว้ได้อยู่ เพราะผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันหลายคนมีคะแนนความนิยมส่วนตัวที่ไม่สูงนัก เช่น นพ.เมห์เหม็ด ออซ ที่เพนซิลเวเนีย ซึ่งเคยมีเรื่องอื้อฉาวจากการขายอาหารเสริมที่ไม่มีประสิทธิภาพ, เฮอร์เชล วอล์กเกอร์ ที่จอร์เจีย ซึ่งมีคดีอื้อฉาวจากการใช้ความรุนแรงในครอบครัว และ โดนัลด์ โบลดัก ที่นิวแฮมป์เชียร์ ที่ยังคงกล่าวหาว่าไบเดนนั้นโกงการเลือกตั้งในปี 2020 (ซึ่งถูกพิสูจน์มานับครั้งไม่ถ้วนว่าไม่จริง) ทำให้ผลการเลือกตั้งยังออกมาได้ทั้งสองหน้า
ภาพ: Jakub Porzycki / NurPhoto via Getty Images