วันนี้ (26 ตุลาคม) นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์โรคโควิดของประเทศไทยมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ในสัปดาห์ที่ 42 ช่วงวันที่ 16-22 ตุลาคม 2565 มีผู้ป่วยรายใหม่ 2,616 ราย เฉลี่ยวันละ 373 ราย ผู้เสียชีวิต 40 ราย เฉลี่ยวันละ 5 ราย ประชาชนเริ่มใช้ชีวิตตามปกติมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม หากต้องเข้าไปในพื้นที่คนหนาแน่น การระบายอากาศไม่ดี ขอให้ยังคงปฏิบัติตามมาตรการป้องกันตัว ทั้งการสวมหน้ากากอนามัยและล้างมือบ่อยๆ ที่สำคัญคือการมารับวัคซีนป้องกันโควิด ซึ่งขณะนี้มีการฉีดไปแล้ว 142.8 ล้านโดส ความครอบคลุมเข็มปกติเกือบ 82% แต่เข็มกระตุ้นในทุกกลุ่มยังมารับน้อย ไม่ถึง 50%
นพ.โสภณกล่าวต่อไปว่า การได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นเข็ม 4 จะช่วยลดอาการรุนแรงและการเสียชีวิตได้เกือบ 100% โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง 608 หากได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 หรือ 3 มาแล้วเกิน 3-4 เดือน ให้มารับวัคซีนเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน ส่วนกลุ่มเด็กเล็ก อายุ 6 เดือน – 4 ปี ซึ่งยังไม่เคยสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคโควิด ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขส่งวัคซีน Pfizer ฝาสีแดง กระจายไปยังโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้บริการในคลินิกเด็กสุขภาพดี (Well Baby Clinic) แล้ว ผู้ปกครองสามารถให้เด็กฉีดพร้อมกับวัคซีนป้องกันโรคอื่นๆ ได้ จะช่วยลดความเสี่ยงอาการรุนแรงและเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด รวมถึงการเกิดภาวะอักเสบของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายเด็ก (MIS-C) ได้
ทั้งนี้ ช่วงฤดูหนาวจะมีการระบาดของเชื้อไวรัสก่อโรคเพิ่มขึ้นหลายโรค รวมถึงโรคโควิด ดังนั้นขอให้กลุ่มเสี่ยง ทั้งกลุ่ม 608 และเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี มารับวัคซีนเพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคโควิดก่อนที่จะถึงฤดูหนาว โดยโรงพยาบาลต่างๆ จะมีการจัดพื้นที่ให้บริการกลุ่มเด็กอายุ 6 เดือน – 4 ปี เป็นการเฉพาะ เพื่อให้ได้รับวัคซีนเร็วขึ้น ผู้ปกครองพาบุตรหลานไปรับวัคซีนได้ตามความสมัครใจ ไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยจะมีการฉีดวัคซีนทั้งหมด 3 เข็ม เข็มแรกและเข็มสองห่างกัน 1 เดือน และเข็มสามห่างจากเข็มสอง 2 เดือน
ขณะที่ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะด้านไวรัสวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า เด็กเล็กโดยเฉพาะที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี ถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อการป่วยหนัก อาจพบภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อโควิด ได้แก่ ปอดบวมและหลอดลมอักเสบ ซึ่งอาจมีอาการรุนแรงถึงชีวิต ซึ่งไม่ต่างจากการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ รวมถึงอาจพบภาวะ MIS-C ได้ด้วย
ดังนั้นจึงควรให้เร่งรัดการฉีดวัคซีนในกลุ่มเป้าหมายเด็กเล็กเช่นเดียวกับในกลุ่ม 608 ที่มีอัตราการป่วยหนักและเสียชีวิตสูงเช่นกัน ขณะนี้วัคซีนป้องกันโรคโควิด Pfizer ฝาสีแดง สำหรับฉีดในเด็ก 6 เดือน – 4 ปี เข้ามาในประเทศไทยแล้ว เป็นวัคซีนที่ได้รับการอนุมัติจากสหภาพยุโรป (EU) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาและของประเทศไทย รวมถึงมีการอนุมัติให้ใช้ในหลายๆ ประเทศแล้ว
จากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่ามีความปลอดภัย ผลข้างเคียงน้อยกว่าวัคซีนที่ฉีดในเด็กโตหรือผู้ใหญ่ เมื่อคำนึงถึงผลประโยชน์และความเสี่ยงที่ได้รับ แนะนำให้เด็กเล็กฉีด โดยเฉพาะในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ซึ่งเป็นสถานที่ที่เด็กอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก อาจเป็นจุดเสี่ยงที่แพร่เชื้อและติดต่อระหว่างกันได้ง่าย ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าอาจจะป้องกันการติดเชื้อโควิดไม่ได้ทั้งหมด และหากติดเชื้อแล้วจะลดความรุนแรง ลดอัตราการป่วยหนักและเสียชีวิตได้