ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ดัชนี Nasdaq ของสหรัฐฯ ที่เปรียบเสมือนตัวแทนของ หุ้นเทคโนโลยี ถือเป็นดัชนีที่ฟื้นตัวได้โดดเด่นที่สุดจากการปรับตัวขึ้นเกือบ 15% เมื่อเทียบกับดัชนี S&P 500 และดัชนี Dow Jones ที่ปรับตัวขึ้น 11% และ 9% ตามลำดับ
ปัจจัยหนุนที่สำคัญต่อการฟื้นตัวของหุ้นเทคโนโลยีและตลาดหุ้นโดยภาพรวม เกิดจากการเริ่มอ่อนตัวของเงินเฟ้อในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ขณะที่ แพทริก สเปนเซอร์ รองประธานด้านตลาดทุนของ Baird มีมุมมองเชิงบวกว่า การฟื้นตัวรอบนี้อาจเป็นตลาดกระทิงรอบใหม่ แทนที่จะเป็นเพียงการฟื้นตัวระยะสั้นในตลาดหมี โดยที่ Fed จะเริ่มปรับเปลี่ยนมุมมอง และอัตราดอกเบี้ยจะเริ่มชะลอการปรับขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความเห็นต่อการฟื้นตัวของตลาดหุ้น รวมทั้งหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในขณะนี้ยังคงแตกออกเป็นสองฝั่ง ในอีกมุมหนึ่งอย่าง ไมค์ เบล นักกลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นทั่วโลกของ J.P. Morgan Asset Management มองว่า “ในขณะที่เรามีข่าวดีจากการที่เงินเฟ้อผ่านจุดพีคไปแล้ว แต่มันอาจจะไม่เพียงพอที่จะทำให้ Fed กลับมาลดการคุมเข้มทางการเงิน หรือเลิกกลัวในเรื่องของ Recession ในทันที”
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา หลังจากที่ดัชนี Nasdaq ลดลงไปทำจุดต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี ก็เริ่มเห็นกองทุนทยอยกลับมาลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น อย่างกรณีของกองทุนภายใต้การบริหารของ Soros Fund Management กลับมาเพิ่มน้ำหนักหุ้นอย่าง Amazon, Salesforce, Alphabet และ Tesla
สรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า เรามีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐฯ และเชื่อว่าดัชนี Nasdaq จะเป็นตัวดึงให้ตลาดหุ้นโลกฟื้นตัวขึ้นมาได้
“เราไม่ได้มองว่าหุ้นเทคฯ จะต้องปรับขึ้นทันที แต่หากเราประเมินว่าเงินเฟ้อพีคแล้ว อย่างน้อยเราก็ควรจะมีสถานะในหุ้นเทคฯ ไว้ก่อนหนึ่งขา และเมื่อมีสัญญาณบวกเพิ่มเติม เช่น เงินเฟ้อลดลงแรง ก็เพิ่มสถานะอีกขาหนึ่ง”
สำหรับแนวโน้มเงินเฟ้อสหรัฐฯ เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวจากทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์ที่คิดเป็นสัดส่วนราว 30% ของเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันที่คิดเป็นสัดส่วน 10%
ส่วนปัจจัยพื้นฐานของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยปกติเราจะไม่พิจารณาจากอัตราส่วนทางการเงินอย่างราคาต่อกำไร (P/E) หรือราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) แต่จะใช้ราคาต่อยอดขาย (P/S) เป็นหลัก
“ก่อนหน้านี้หุ้นเทคฯ เทรดกันด้วย P/S ที่ราว 1.5SD (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) ถึง 2SD แต่ปัจจุบันราคาของหุ้นเทคฯ ลดลงมาเทรดที่ค่าเฉลี่ยแล้ว ฉะนั้นการขึ้นมาของหุ้นเทคฯ ในรอบนี้ไม่ควรจะขายออก และถ้าลงมาก็ควรจะซื้อเพิ่ม”
นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมักจะได้รับผลกระทบจำกัดหากเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย เพราะโครงสร้างรายได้ของหุ้นกลุ่มนี้มักจะไม่อิงกับโครงสร้างเศรษฐกิจภาพรวม
อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะถูกแยกย่อยออกเป็นหลายหมวดหมู่ สำหรับการฟื้นตัวรอบนี้เชื่อว่าธุรกิจที่อิงกับ Cybersecurity น่าจะเป็นกลุ่มที่ฟื้นตัวได้ดี เพราะที่ผ่านมาคนส่วนใหญ่นำตัวตนของเราไปอยู่บนโลกออนไลน์ผ่านการสมัครใช้บริการต่างๆ ทำให้บริษัทเหล่านี้จำเป็นจะต้องลงทุนในด้านความปลอดภัยเพิ่ม
ด้าน รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ ผู้อำนวยการอาวุโส หัวหน้าฝ่ายหลักทรัพย์ต่างประเทศและฟิวเจอร์ส บล.บัวหลวง ประเมินว่า การฟื้นตัวของดัชนี Nasdaq เกิดขึ้นหลังจากลดลงไปแตะเส้นค่าเฉลี่ย 200 สัปดาห์ จากสถิติในอดีตหากไม่มีวิกฤตเศรษฐกิจเกิดขึ้น ดัชนี Nasdaq มักจะไม่ลดลงไปต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยนี้
ส่วนกำไรของบริษัทจดทะเบียนด้านเทคโนโลยีขนาดใหญ่หลายบริษัทยังออกมาดี เช่น Apple, Amazon, Netflix, Alphabet และ Microsoft โดยจะมี Meta หรือ Facebook ที่ออกมาผิดคาด
“จะเห็นว่าเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นยังไม่ได้กระทบต่อกำไรของหุ้นเทคฯ ขนาดใหญ่อย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็ต้องยอมรับว่าในมุมของตลาดไม่สามารถจะมองแค่กำไรอย่างเดียวได้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงในระยะสั้นที่เข้ามากระทบด้วย”
อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ฟื้นขึ้นมาต่อเนื่อง รวมทั้งเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงแม้ว่าจะชะลอลง ทำให้ Fed จะยังเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ รวมถึงความเสี่ยงจากภาวะ Inverted Yield Curve ที่ยังอยู่ ทำให้หุ้นเทคโนโลยีมีโอกาสจะพักฐานลงมา
“ส่วนตัวมองว่าหุ้นสหรัฐฯ จะฟื้นตัวแบบ W-Shape ราคาหุ้นน่าจะพักตัวลงมาอีกครั้ง แต่ไม่น่าจะทำจุดต่ำใหม่ เพราะฉะนั้นควรจะรอเข้าซื้อเมื่อราคาหุ้นเริ่มอ่อนตัวมากกว่า”
อ้างอิง:
- Soros Reloads on Big Tech With Amazon, Google and New Tesla Bet – Bloomberg
- Nasdaq rallies more than 20% from recent lows after US inflation eases | Financial Times
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP