×

เมื่ออิตาลีไม่ได้มีแค่พาสต้า ร่วมตีความอาหารอิตาลีปี 2018 ที่ La Scala

28.01.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

3 Mins read
  • ปรับโฉมห้องอาหารที่เคยโด่งดังด้วยเมนู ‘Italian 2018’ ด้วยอาหารที่ออกแบบใหม่ทั้งหมดเพื่อนำเสนอประสบการณ์บนเส้นทางอาหารของเชฟ และการตีความอาหารอิตาลีแบบไม่ตายตัว มีพลวัตและสิ่งแปลกใหม่ในเมนูเก่าอยู่เสมอ
  • ของหวานรสเยี่ยมอย่างเจลาโตน้ำส้มสายชูไวน์ขาว ทานกับลูกมะเดื่อตุ๋นและดอง เข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ

หลังจากเปิดให้บริการมากว่า 16 ปี และเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในหมู่ฟู้ดดี้รวมถึงเชฟชื่อดังจากทั่วโลก ที่ถ้ามาไทยเมื่อไรก็จะต้องแวะห้องอาหาร La Scala (ลา สกาล่า) และเมื่อปีที่แล้วห้องอาหารก็ถึงคราวอัพเกรดใหม่ ปรับเปลี่ยนทั้งลุคและเทสต์ให้โดดเด่นและแสดงถึงความเป็นตัวเองยิ่งขึ้น และเปิดตัวเป็นที่เรียบร้อยเมื่อปลายปี 2017 ที่ผ่านมา

 

บรรยากาศภายในร้าน

 

The Vibe

La Scala คือห้องอาหารธีมสีแดงสดที่สะท้อนถึงความแสบสันเต็มไปด้วยชีวิตชีวาของอิตาลี และความหมายของชื่อร้านที่แปลว่า ‘โรงมหรสพ’ เพราะจุดเด่นของโรงมหรสพก็คือม่านแดง ด้วยเหตุนี้ทั้งร้านอาหารจึงเน้นสีแดงเป็นหลัก สอดรับกับการตกแต่งและการตกแต่งภายในที่ดูโมเดิร์นและร่วมสมัย ตัดกับสีดำที่สื่อถึงความหนักแน่น นอกจากตัวร้านแล้ว ครัวเปิดและบาร์ก็เป็นอีกสองจุดที่น่าสนใจ สำหรับครัวเปิดเป็นเหมือนเวทีมหรสพซึ่งเป็นที่จัดเตรียมความอร่อยในทุกวัน ส่วนบาร์ที่เพิ่งได้รับการเสริมเข้าไปนั้นก็ได้ออกแบบให้เป็นพื้นที่สำหรับจิบค็อกเทลสไตล์แดนมักกะโรนี หรือจะมานั่งจิบไวน์ชั้นเลิศที่มีให้เลือกหลายร้อยขวดจากทั้งโลกเก่าและโลกใหม่

 

เชฟเดวิด ทัมบูรินี จากซิซิลี เชฟใหญ่ประจำห้องอาหาร

 

The Chef

เชฟเดวิด ทัมบูรินี (David Tamburini) เชฟใหญ่ประจำห้องอาหารพูดถึงอาหารที่นี่ได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งเชฟไม่อยากใช้คำว่า ‘Contemporary Italian Cuisine’ เพราะสิ่งที่เชฟครีเอตก็ไม่ถือว่าเป็นอาหารอิตาลีร่วมสมัยทั้งหมด แต่เชฟให้คำจำกัดความอาหารที่นี่สั้นๆ ว่า Italian 2018 ซึ่งแน่นอนว่าเป็นอาหารอิตาลีที่ตั้งต้นด้วยสูตรต้นตำรับคลาสสิก แต่เมื่ออยู่ในยุคปัจจุบันก็ย่อมมีการหยิบยืมเทคนิคและวัตถุดิบหลากหลาย และไม่มีความตายตัว บ้างก็ร่วมสมัย บ้างก็สูตรดั้งเดิม บ้างก็เป็นการผสมผสานระหว่างความร่วมสมัยกับความคลาสสิกอีกทีหนึ่ง ผู้เขียนอยากเรียกว่าเป็นเฟรมเวิร์กแห่งอาหารอิตาลี ซึ่งอาหารแต่ละจานล้วนแต่มีโครงร่างหรือเอกลักษณ์ รูปแบบของอาหารการกินสไตล์อิตาลี ที่ผู้ทานสัมผัสได้ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบตั้งต้นหรือรสเด่นที่สัมผัสได้ในอาหารแต่ละจาน นอกจากนี้เชฟเดวิดยังได้นำเมนูที่คนไทยไม่ค่อยรู้จักมานำเสนอเพื่อเปิดประสบการณ์ทานอาหารอีกระดับ

 

(บน) Amouse Bouche, (ล่าง) Capesante in Inzimino หอยเชลล์เนื้อหวานเด้งจี่กระทะร้อน

 

The Dishes

จานแรกที่เสิร์ฟถึงโต๊ะเป็นเมนูที่เชฟครีเอตแต่ละวันไม่ซ้ำกัน เพื่อนำเสนอวัตถุดิบและไอเดียของเชฟที่เกิดขึ้นในวันนั้น สำหรับครั้งนี้เป็นคาเวียร์ 2 สไตล์ ประกอบด้วยแป้งพิซซ่าทอดปั้นก้อนและสอดไส้มันฝรั่ง ท็อปด้วยคาเวียร์กับมาสคาร์โปเนชีส มาพร้อมกับกล่องเก็บคาเวียร์ที่ด้านในเป็นถั่วเลนทิลทอดกรอบซึ่งครีเอตหน้าตาให้คล้ายคาเวียร์

 

(บน) Carciofi e Cardi in Insalata  สลัดอาร์ติโชก, (ล่าง) Maiale alla Toscana หนังหมูตากแห้งกรุบกรอบ

 

เปิดเมนูเตรียมสั่งอาหารเรียกน้ำย่อย เชฟแนะนำ 3 จานที่ควรลอง เริ่มจาก Capesante in Inzimino (880 บาท) หอยเชลล์เนื้อหวานเด้งจี่กระทะร้อนกับผักสามชนิดราดเดรสซิงอินซิมิโน (Inzimino Dressing) ซอสปรุงรสที่ทำจากผักตระกูลคะน้า เพิ่มความเค็มด้วยเฮอร์ริงคาเวียร์ ตามติดด้วย Carciofi e Cardi in Insalata (880 บาท) สลัดอาร์ติโชกที่ใช้ทั้งแกนและกลีบ เสิร์ฟกับซอสนมไพน์นัทและไข่แดงรสเข้มข้น Maiale alla Toscana (680 บาท) หนังหมูตากแห้งทอดกรอบนำมาเป็นฐานรองเนื้อส่วนไหล่ฉีกเส้นสไตล์ทัสคันที่ปรุงให้สุกแบบกงฟีต์ ราดครีมซอสถั่วขาว

 

พาสต้าเขือม่วงมา 3 สไตล์

 

มาถึงพาสต้ากันบ้าง Spaghetti alle Melanzane Bruciate (900 บาท) แม้จะเป็นเมนูเส้น แต่พระเอกของจานกลับเป็นมะเขือม่วง ซึ่งเชฟเดวิดนำเขือม่วงมาครีเอต 3 สไตล์ สปาเกตตีเส้นกรุบหนึบเด้งในปากกำลังดี ผัดมะเขือเทศย่างและน้ำมะเขือม่วงเผาที่คั้นจากผลมะเขือม่วงกว่าหนึ่งกิโลกรัม โรยหน้าด้วยเนื้อมะเขือม่วงย่างและผงมะเขือม่วง จานนี้ไม่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์แม้แต่น้อย แต่กลับรสชาติดีไม่แพ้พาสต้าใส่เนื้อสัตว์เลยทีเดียว

 

พาสต้าราวิโอลีสอดไส้ผักร็อกเกตกับพาร์เมซานชีส

 

เส้นที่สอง Ravioli Rucola e Parmigiano al Burro Bianco (900 บาท) พาสต้าราวิโอลีสอดไส้ผักร็อกเกตกับพาร์เมซานชีสที่คัดเฉพาะพาร์เมซานบ่มนานกว่า 24 เดือน จนได้รสชาติอูมามิเข้มข้น ราดซอสเนยกับน้ำส้มสายชู ตกแต่งด้วยพาร์เมซานทอดแผ่นบางกรุบกรอบ

 

เนื้อสันในลูกวัวจากเนเธอร์แลนด์

 

อาหารอิตาลีนอกจากเส้นพาสต้าก็ยังมีเมนูเนื้อวัวและปลา ซึ่งเมนูที่เชฟภูมิใจเสนอ อาจจะดูแปลกตาในความรู้สึกของคนไทย เพราะไม่ค่อยพบตามร้านอาหารอิตาลีสักเท่าไร Filetto di Vitello, Radicchio alla Griglia, Borettane all’agresto (2,680 บาท) เนื้อสันในลูกวัวจากเนเธอร์แลนด์ที่มีสีชมพูเด่นเพราะเลี้ยงด้วยนม รับประกันความนุ่ม กินกับหัวหอมอบรสหวานฉ่ำแบบธรรมชาติ แรดิกชิโอย่าง หน้าตาคล้ายผักกาดสีม่วงแต่มีรสขม ราดซอสอะเกรสโตเปรี้ยวๆ หวานๆ สไตล์กรีกโรมัน แนะนำให้ทานทุกส่วนผสมพร้อมกัน เพื่อความอร่อยเป็นทวีคูณ

 

Triglie Rosse e Fagioli ปลาจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

 

ถ้าเมนูเนื้อหนักไป เปลี่ยนมาเป็นปลาดูบ้าง Triglie Rosse e Fagioli (2,000 บาท) ปลาเรดมัลเลทจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเลาะก้างแล้วยัดไส้ด้วยขนมปังบริออซ จากนั้นนำไปทำให้สุกด้วยวิธีแบบ *ซาลามานเดอร์ กริลล์ (Salamander Grill) ซึ่งยังคงรสชาติและความฉ่ำของเนื้อปลา แต่ให้ผิวหน้าที่แห้งกรอบ เวลาทานจะได้ทั้งความนุ่มและฉ่ำจากเนื้อปลาและความกรอบของบริออซ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ชาวอิตาลีนิยมใช้เพื่อเพิ่มรสสัมผัสให้อาหาร ทานกับสลัดและซอสถั่วขาว

 

เจลาโตน้ำส้มสายชูไวน์ขาวและลูกมะเดื่อ

 

นอกจากอาหารแล้ว อยากให้ลองของหวานที่นี่ เหตุเพราะเชฟบรรจงใส่ลูกเล่นให้กับของหวานได้อย่างน่าทึ่ง (จนเราแอบยุให้เชฟลองไปเปิดร้านขนมอิตาลีเป็นของตัวเองเสียเลย) จานแรก Fichi e Gelato all’aceto (400 บาท) เจลาโตน้ำส้มสายชูไวน์ขาว ให้รสชาติเปรี้ยวอมหวานสดชื่นไปอีกแบบจนแทบลืมเลมอนเจลาโตไปเลย และเพื่อเติมเต็มรสให้กลมกล่อมยิ่งขึ้น เชฟจับคู่เจลาโตกับลูกมะเดื่อตุ๋นผสมวอลนัตและลูกมะเดื่อดอง สัมผัสกรุบกรอบผสมความเปรี้ยวหวาน เป็นจานที่เล่นกับรสชาติและนำเสนอวัตถุดิบแปลกๆ มาทำเป็นของหวานได้อย่างน่าสนใจ

 

เปลี่ยนรูปกาแฟให้เป็นไวท์คอฟฟี่โฟมรสนุ่มเบา

 

ส่วนของหวานจานที่สอง Affogato al caffe (400 บาท) ก็โดดเด่นไม่แพ้เจลาโต้กับลูกมะเดื่อ ใครชื่นชอบกาแฟต้องห้ามพลาด เพราะเชฟเปลี่ยนรูปกาแฟให้เป็นไวท์คอฟฟี่โฟมรสนุ่มเบา โดยกินโฟมกาแฟคู่กับไอศกรีมวานิลลาที่ใช้ฝักวานิลลาแท้จากเกาะตาฮิติ ซึ่งไอศกรีมถูกเคลือบผิวหน้าด้วยดาร์กช็อกโกแลตอีกทีหนึ่ง กัดเข้าไปพบกับความหอมหวานของวานิลลาที่ปะทะความกรอบของและรสขมเข้มจากเปลือกช็อกโกแลต ปิดท้ายด้วยกลิ่นหอมของกาแฟเป็นอันเสร็จสิ้น

 

Americano with Foam และ La Scala Sour

 

สำหรับเครื่องดื่ม โรเบอร์โต้ บาร์เทนเดอร์ชาวอิตาลีผู้อยู่เบื้องหลังอิตาลีค็อกเทลของห้องอาหาร แนะนำเมนูคลาสสิกทวิสต์ Americano with Foam (490 บาท) เบสด้วยเรดเวอร์มุธกับคัมพารี บิตเตอร์สัญชาติอิตาลี ปกติอเมริกาโนค็อกเทลจะท็อปด้วยโซดา แต่โรเบอร์โต้แทนที่โซดาด้วยออเรนจ์โพรเซโกโฟม ฟองนุ่มๆ จากอิตาลีสปาร์กลิงอินฟิวส์กับส้ม ให้รสหวานนุ่ม แต่ถ้าชอบรสเปรี้ยวและกลิ่นหอม La Scala Sour (490 บาท) น่าจะตอบโจทย์ได้ดี เหล้าอัลมอนด์ผสมผลไม้ซิตรัส และน้ำผึ้งที่นำไปอินฟิวส์กับอบเชยจนได้ความหอมอันเป็นเอกลักษณ์ เหมาะสำหรับดื่มเบาๆ หลังอาหาร

 

What You Should Know

  • ชื่อร้าน La Scala เป็นภาษาอิตาลี หมายถึงโรงละครหรือโรงมหรสพ ซึ่งที่นี่เปรียบเสมือนโรงมหรสพสำหรับการทานอาหารอิตาลี Fine Dining พร้อมชมเบื้องหลังความอร่อยที่ส่งตรงจากครัวเปิดกลางร้าน
  • Salamander Grill คือการทำให้อาหารสุกจากด้านบนลงล่าง ช่วยคงรสชาติและความฉ่ำของวัตถุดิบ
  • อาหารอิตาลีของเชฟเดวิดประกอบสร้างจากวัตถุดิบไม่กี่ชนิดในแต่ละจาน เพื่อให้รสชาติที่ได้เกิดจากวัตถุดิบเป็นหลัก

 

La Scala Restaurant & Bar

Open: เปิดทุกวัน เวลา 12.00-14.00 น. และ 18.00-23.00 น.

Address: โรงแรมสุโขทัย ถนนสาทรใต้ กรุงเทพฯ

Budget: เริ่มต้นที่ 680 บาท

Contact: โทร. 0 2344 8888

www.sukhothai.com/bangkok/en/dining/restaurant-la-scala

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X