วันนี้ (19 กรกฎาคม) ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย จะเดินทางเยือนกรุงเตหะรานของอิหร่าน เพื่อพบกับ อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ซึ่งถือเป็นการเดินทางออกนอกเขตอดีตสหภาพโซเวียตเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่การรุกรานยูเครนเริ่มต้นขึ้น และเกิดขึ้นเพียงสามวันหลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ เพิ่งเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบีย
ปูตินอธิบายความพยายามของชาติตะวันตกที่จะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจของรัสเซียด้วยการคว่ำบาตรที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์เมื่อไม่นานนี้ว่า เป็นการประกาศสงครามเศรษฐกิจ และกล่าวว่ารัสเซียกำลังหันหลังให้กับชาติตะวันตกไปสู่จีน อินเดีย และอิหร่าน
“การติดต่อกับคาเมเนอีมีความสำคัญมาก” ยูริ อูชาคอฟ ที่ปรึกษานโยบายต่างประเทศของปูติน กล่าวกับผู้สื่อข่าวในกรุงมอสโก “การเจรจาที่เต็มไปด้วยความไว้วางใจได้พัฒนาขึ้นระหว่างพวกเขา ในประเด็นที่สำคัญที่สุดของวาระทวิภาคีและวาระระหว่างประเทศ
“ในประเด็นส่วนใหญ่ จุดยืนของเราเหมือนหรือใกล้เคียงกัน”
การเยือนของปูตินจะไปตรงกับการเยือนอิหร่านของประธานาธิบดีเรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ผู้นำตุรกี และทั้งปูติน-แอร์โดอันจะได้พบกันในกรุงเตหะราน เพื่อหารือเกี่ยวกับข้อตกลงที่มุ่งเป้าไปที่การกลับมาส่งออกธัญพืชในทะเลดำของยูเครน และคำขู่ของแอร์โดอันที่จะเปิดตัวปฏิบัติการทางทหารปฏิบัติการหนึ่งในภาคเหนือของซีเรียซึ่งรัสเซียคัดค้าน ทั้งนี้ รัสเซียและอิหร่านมีบทบาทในการสนับสนุนประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ของซีเรีย
ทั้งนี้ คาดว่ารัสเซีย ยูเครน ตุรกี และสหประชาชาติ จะลงนามในข้อตกลงปลายสัปดาห์นี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อกลับมาดำเนินการขนส่งธัญพืชจากยูเครนในทะเลดำดังกล่าว
ส่วนปฏิบัติการใดๆ ของตุรกีในซีเรียน่าจะโจมตีกองกำลังชาวเคิร์ด YPG ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของกองกำลังประชาธิปไตยซีเรีย (SDF) ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ทางเหนือของซีเรีย โดยสหรัฐฯ ถือว่า SDF เป็นพันธมิตรที่สำคัญในการต่อต้านกลุ่มรัฐอิสลามหรือไอเอส
ที่ผ่านมา ปูตินวัย 69 ปีเดินทางไปต่างประเทศน้อยครั้งในช่วงไม่กี่ปีให้หลัง เนื่องจากการระบาดของโควิด และวิกฤตการณ์ที่เกิดจากการรุกรานยูเครนซึ่งเริ่มต้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ โดยการเดินทางครั้งล่าสุดก่อนหน้านี้ของปูตินนอกเขตอดีตสหภาพโซเวียต คือการไปเยือนจีนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
Reuters ระบุว่า การมุ่งหน้าไปยังอิหร่านในฐานะการเดินทางไปต่างประเทศครั้งสำคัญครั้งแรกของปูตินนับตั้งแต่สงครามยูเครนเริ่มต้น หมายถึงปูตินกำลังส่งข้อความที่ชัดเจนไปยังชาติตะวันตกว่ารัสเซียจะพยายามสร้างความสัมพันธ์กับอิหร่าน ซึ่งเป็นศัตรูของสหรัฐฯ นับตั้งแต่การปฏิวัติในปี 1979
ก่อนการเดินทาง ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกของปูตินกล่าวว่า รัสเซียและอิหร่านอยู่ภายใต้มาตรการคว่ำบาตรจากตะวันตกมาช้านาน ซึ่งเขาระบุว่า นี่คือราคาที่รัสเซียและอิหร่านต้องจ่ายเพื่ออธิปไตยของตน
สำหรับอิหร่าน การสร้างความสัมพันธ์กับรัสเซียเป็นวิธีสร้างสมดุลระหว่างอิทธิพลของสหรัฐฯ และพันธมิตรของสหรัฐฯ ทั่วทั้งอ่าวเปอร์เซียกับผู้ปกครองอาหรับและอิสราเอล รายงานยังระบุว่า ปูตินจะพบกับประธานาธิบดีอิหร่าน อิบราฮิม ไรซี ที่ได้รับการเลือกตั้งมาเมื่อปีที่แล้วด้วย
“เราต้องการพันธมิตรที่แข็งแกร่ง และรัสเซียก็คือมหาอำนาจรายหนึ่ง” เจ้าหน้าที่อาวุโสของอิหร่านที่ขอไม่ให้ระบุตัวตนกล่าว
ด้วยราคาน้ำมันที่สูง อิหร่านกำลังเดิมพันว่า ด้วยการสนับสนุนจากรัสเซีย อิหร่านอาจสามารถกดดันสหรัฐฯ เพื่อให้หันมาฟื้นฟูข้อตกลงนิวเคลียร์เมื่อปี 2015 อย่างไรก็ตาม ความเอนเอียงของรัสเซียไปยังจีนนั้นได้ทำให้การส่งออกน้ำมันดิบของอิหร่านไปยังจีนลดลงอย่างมาก ซึ่งการส่งออกไปยังจีนดังกล่าวเป็นแหล่งรายได้หลักสำหรับอิหร่าน นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ใช้มาตรการคว่ำบาตรอีกครั้งเมื่อปี 2018
แฟ้มภาพ: MIKHAIL KLIMENTYEV / SPUTNIK / AFP
อ้างอิง: