เดวิด โซโลมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของ Goldman Sachs แสดงความเห็นกึ่งคำเตือนเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (18 กรกฎาคม) ว่าอัตราเงินเฟ้อฝังลึกติดแน่นอยู่ในระบบเศรษฐกิจโลก ทำให้ไม่อาจบอกได้ชัดเจนว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงปลายปีนี้
โซโลมอนกล่าวว่า มองเห็นอัตราเงินเฟ้อที่ฝังรากลึกในระบบเศรษฐกิจ และสิ่งที่ผิดปกติในช่วงเวลานี้ก็คือทั้งอุปสงค์และอุปทานได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ภายนอกอย่างการระบาดครั้งใหญ่ของโควิด และสงครามความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน
ความเห็นของโซโลมอนครั้งนี้มีขึ้นระหว่างที่เจ้าตัวประชุมกับทีมนักวิเคราะห์ เพื่อหารือเกี่ยวกับผลประกอบการในไตรมาสสองของปีนี้
โซโลมอนยอมรับว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครสามารถฟันธงได้อย่างชัดเจนว่าภาวะเงินเฟ้อจะอยู่กับเศรษฐกิจโลกไปอีกนานแค่ไหน และจากการพูดคุยกับบรรดาซีอีโอที่ดำเนินธุรกิจขนาดใหญ่ระดับโลก ส่วนใหญ่ระบุตรงกันว่ายังคงเห็นอัตราเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่องในห่วงโซ่อุปทานของบริษัท
ขณะเดียวกัน แม้บรรดานักเศรษฐศาสตร์ส่วนหนึ่งของ Goldman Sachs กล่าวว่าสัญญาณที่อัตราเงินเฟ้อจะลดลง จะพบเห็นได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โซโลมอนก็ยอมรับว่าคำตอบนั้นยังไม่แน่นอน พร้อมแนะให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยโซโลมอนชี้ว่า ขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลกเดินหน้าใช้นโยบายการเงินแบบรัดกุมเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ ตลาดที่ผันผวนอยู่แล้วในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ จะยังคงผันผวนต่อไป
ขณะนี้ความกังวลหลักคือการมุ่งเน้นการขับเคลื่อนต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ จะเริ่มส่งผลกระทบต่อทั้ง “ความเชื่อมั่นขององค์กรและกิจกรรมของผู้บริโภคในระบบเศรษฐกิจ”
รายงานระบุว่า ความไม่แน่นอนดังกล่าวทำให้โซโลมอนดำเนินแผนการธนาคารในนิวยอร์กอย่างระมัดระวัง ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบแผนการใช้จ่ายด้วย ขณะเดียวกัน ทาง Goldman Sachs ยังเลือกที่จะชะลออัตราการจ้างงานใหม่ และลดค่าธรรมเนียมวิชาชีพที่จ่ายลง
โซโลมอนปิดท้ายด้วยการคาดการณ์ว่า ตลาดจะมีความผันผวนและความไม่แน่นอนมากขึ้น พร้อมให้คำมั่นว่า ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เปราะบางในปัจจุบัน Goldman Sachs จะจัดการทรัพยากรทั้งหมดที่มีอย่างระมัดระวัง
อ้างอิง:
