ขณะที่ทั่วโลกต่างให้ความสนใจกับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ของจีน แต่ดูเหมือนว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังดิ่งลง อาจเป็นปัจจัยที่ต้องให้ความสนใจมากกว่า
ข้อมูลจากดัชนีที่ติดตามยอดขายบ้านและอพาร์ตเมนต์ของจีน สะท้อนให้เห็นว่าตลาดอสังหาของจีนกำลังหดตัวลงต่อเนื่อง โดยยอดขายลดลง 11 เดือนติดต่อกัน ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1990 หลังจากที่จีนเริ่มเปิดให้ภาคเอกชนเข้ามาทำธุรกิจอสังหา
โดยความต้องการในส่วนของบริการก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง รวมทั้งยอดขายบ้าน คิดเป็นประมาณ 20% ของ GDP ถือเป็นตัวฉุดที่สำคัญต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวมในปีนี้
Ting Lu หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจจีนของ Nomura Holdings กล่าวว่า การดิ่งลงของตลาดอสังหารอบนี้ต่อเนื่องยาวนานกว่าช่วงปี 2008 และ 2014 โดยเป็นผลต่อเนื่องจากการที่จีนสั่งจำกัดการนำเข้าเหล็กและทองแดง
การดิ่งลงรอบนี้เริ่มต้นตั้งแต่ปีก่อน หลังจากรัฐบาลต้องการชะลอการปล่อยสินเชื่อบ้านและชะลอการลงทุนในการพัฒนา เพื่อลดภาวะฟองสบู่และความเสี่ยงต่อภาคการเงิน ส่งผลให้นักเศรษฐศาสตร์บางส่วนมองว่า ความพยายามของภาครัฐในครั้งนี้จะทำให้ตลาดอสังหาของจีนผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และยังทำให้การเติบโตของ GDP ของจีนโดยเฉลี่ยต่ำกว่า 4% ต่อปี ในช่วงที่เหลือของทศวรรษนี้
แม้ว่าความเร็วในการลดลงของราคาบ้านในจีนน่าจะค่อยๆ ดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ เนื่องจากรัฐบาลเริ่มผ่อนคลายในส่วนของดอกเบี้ยเพื่อสนับสนุนการเติบโต แต่ด้วยการล็อกดาวน์ในเซี่ยงไฮ้และอีกนับสิบเมืองเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทำให้ภาพรวมของตลาดยังคงลดลงมากกว่าปีก่อน
Iris Pang นักเศรษฐศาสตร์ประจำประเทศจีนของ ING Group NV กล่าวว่า การจ้างงานจำเป็นจะต้องดีขึ้นเพื่อช่วยกระตุ้นความต้องการ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจีนมีแนวโน้มจะกลับมาล็อกดาวน์อีกมากน้อยแค่ไหน ทั้งนี้ คาดว่ายอดขายบ้านจะยังไม่กลับมาฟื้นตัวจนกว่าจะถึงปี 2023
สำหรับท่าทีของรัฐบาลจีนล่าสุดก็ยังดูไม่ได้โอนอ่อนเท่าใดนัก จากการประชุมเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา รัฐบาลยังส่งสัญญาณว่าไม่ต้องการให้เกิดการเก็งกำไรในตลาดอสังหา
ทั้งนี้ การดิ่งลงของภาคอสังหาของจีนน่าจะกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจราว 1.4% ซึ่งต่ำกว่าผลกระทบจากการควบคุมโควิดเพียง 0.2% ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ของ Goldman Sachs คาดว่า เศรษฐกิจจีนในปีนี้จะเติบโตได้เพียง 3% ต่ำกว่าเป้าหมายของรัฐบาลที่ตั้งไว้ 5.5%
อ้างอิง:
