วานนี้ (21 มิถุนายน) คณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เปิดการไต่สวนสาธารณะรอบที่ 4 ในคดีกลุ่มผู้สนับสนุนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก่อจลาจลบุกรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 ภายหลังพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ช่วงปลายปี 2020 และพยายามขัดขวาง ส.ส. ในการรับรองชัยชนะให้แก่โจ ไบเดน
ในการไต่สวนครั้งนี้ มีพยานหลายคนที่เป็นเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งจากรัฐแอริโซนาและจอร์เจีย ซึ่งเป็นรัฐที่ทรัมป์พ่ายแพ้แก่ไบเดน ขึ้นให้การว่า ถูกกลุ่มผู้สนับสนุนประธานาธิบดีทรัมป์ในขณะนั้นข่มขู่คุกคามถึงขั้นจะเอาชีวิตทั้งตัวเขาและครอบครัว หลังปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือในการล้มล้างผลการนับคะแนน
หนึ่งในพยานที่ถูกจับตามองคือ รัสตี้ โบเวอร์ส (Rusty Bowers) ประธานสภาผู้แทนราษฎรรัฐแอริโซนาและสมาชิกพรรครีพับลิกัน ที่เคยมีส่วนช่วยรณรงค์หาเสียงแก่ทรัมป์ โดยเขาได้ขึ้นให้การเกี่ยวกับแรงกดดันมหาศาลของฝ่ายสนับสนุนทรัมป์ที่ต้องการให้พลิกผลการเลือกตั้ง พร้อมทั้งชี้ว่าการคุกคามนั้นยังคงอยู่จนถึงวันนี้
“เราได้รับอีเมลมากกว่า 20,000 ฉบับ ข้อความเสียง และข้อความอีกหลายหมื่นข้อความ ซึ่งท่วมท้นสำนักงานของเราจนเราไม่สามารถทำงานได้ อย่างน้อยก็เป็นการสื่อสาร” โบเวอร์สให้การต่อคณะกรรมาธิการฯ
ซึ่งเขายืนยันว่าการข่มขู่และดูหมิ่นยังคงเกิดขึ้น โดยมีกลุ่มผู้ประท้วงอยู่นอกบ้านของเขาและพยายามป้ายสีว่า ‘เขาเป็นพวกใคร่เด็ก’
โบเวอร์สยังเล่าย้อนถึงข้อความของ รูดี จูเลียนี ทนายความส่วนตัวของทรัมป์ ซึ่งเคยบอกกับเขาหลังจากที่ทรัมป์พ่ายแพ้การเลือกตั้งว่า “เรามีทฤษฎีมากมาย เราแค่ไม่มีหลักฐาน”
นอกจากนี้คณะกรรมาธิการฯ ยังรับฟังคำให้การจาก เชย์ มอสส์ (Shaye Moss) และ รูบี ฟรีแมน (Ruby Freeman) มารดาของเธอ ซึ่งตกเป็นเป้าหมายของทฤษฎีสมคบคิด จากการที่ทั้งสองทำหน้าที่เจ้าหน้าที่นับคะแนนประจำหน่วยเลือกตั้งในเขตฟุลตัน รัฐจอร์เจีย
มอสส์เปิดเผยว่า เธอเคยหวาดกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะออกจากบ้าน หลังถูกประธานาธิบดีทรัมป์เพ่งเล็ง โดยหนึ่งในหลายข้อความของทรัมป์ที่มีการบันทึกเสียงไว้ พบว่าทรัมป์เรียกเธอว่าเป็น ‘นักโกงคะแนนเสียงมืออาชีพ และคนที่ทำทุกอย่างได้เพื่อเงิน’ พร้อมกล่าวหาทั้งเธอและแม่ว่าร่วมกันโกงการเลือกตั้งเพื่อช่วยเหลือพรรคเดโมแครต
“ฉันสูญเสียชื่อ เสียชื่อเสียง สูญเสียความรู้สึกปลอดภัย คุณรู้ไหมว่ามันรู้สึกอย่างไร ที่มีประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯ พุ่งเป้ามาที่คุณ” ฟรีแมนกล่าวทั้งน้ำตาในการให้การผ่านบันทึกวิดีโอ
ขณะที่มอสส์กล่าวว่า เธอเผชิญคำขู่ที่อยากให้เธอตายมากมาย และมีการคุกคาม ซึ่งรวมถึงการคุกคามทางเชื้อชาติ และมันได้พลิกชีวิตของเธอ ถึงขั้นไม่อยากให้ใครรู้จักชื่อ ไม่กล้าแจกนามบัตร และไม่กล้าที่จะออกจากบ้าน หรือแม้แต่ไปซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งทำให้เธอน้ำหนักขึ้นกว่า 27 กิโลกรัม และเปิดเผยว่ากลุ่มผู้สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ยังได้ไปที่บ้านยายของเธอ เพื่อมองหาเธอและหวังที่จะใช้ศาลเตี้ยจับกุมตัวเธออีกด้วย
พยานอีกปากที่ขึ้นให้การคือ กาเบรียล สเตอร์ลิง (Gabriel Sterling) เจ้าหน้าที่จัดการเลือกตั้งของพรรครีพับลิกันในรัฐจอร์เจีย ซึ่งเปิดเผยถึงความยากลำบากที่เขาเผชิญในการขจัดทฤษฎีสมคบคิดที่ทรัมป์ปลุกปั่นขึ้นมา
ซึ่งเขาบอกว่าการต่อสู้กับข้อกล่าวอ้างเรื่องโกงเลือกตั้งนั้น ‘เหมือนกับพลั่วที่พยายามจะล้างมหาสมุทร’
นอกจากนี้ แบรด ราฟเฟนส์แปร์เกอร์ (Brad Raffensperger) เลขาธิการรัฐจอร์เจีย ซึ่งเป็นเจ้านายของสเตอร์ลิง ที่เคยถูกทรัมป์กดดันซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อให้ช่วยหาคะแนนเสียงที่เขาต้องการสำหรับชนะการเลือกตั้ง และยังเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่รัฐจอร์เจียที่ถูกทีมกฎหมายของทรัมป์ระบุชื่อในการยื่นฟ้องภายหลังการเลือกตั้ง
โดยราฟเฟนส์แปร์เกอร์เปิดเผยว่า ในคำฟ้องนั้นมีการกล่าวหาว่ามี ‘คะแนนผี’ หรือการลงคะแนนเสียงโดยใช้ชื่อของผู้ที่เสียชีวิตแล้วจำนวนถึง 10,315 คน ซึ่งจากการตรวจสอบอย่างละเอียดพบว่าจริงๆ แล้วมีเพียง 4 คน และจากการสืบสวนเพิ่มเติมยังได้หักล้างข้อกล่าวอ้างอื่นๆ เกี่ยวกับการลงคะแนนที่ผิดกฎหมาย เช่นการลงคะแนนของผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะและผู้ลงคะแนนที่ไม่ได้ลงทะเบียน ตลอดจนการลงคะแนนของกลุ่มผู้ต้องโทษด้วย
“เรามีข้อกล่าวหามากมาย และเราทำการสืบสวนในทุกๆ ข้อกล่าวหานั้น” ราฟเฟนส์แปร์เกอร์ยืนยัน
ภาพ: Photo by MANDEL NGAN / AFP via Getty Images
อ้างอิง: