เพนกวินสีน้ำเงินตัวน้อยตายเกลื่อนทะเลนิวซีแลนด์ เหตุเพราะภาวะโลกรวน

ถือเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์น่าเศร้าที่เกิดจากภาวะโลกรวน หรือ Climate Change เมื่อนิวซีแลนด์พบซากเพนกวินสีน้ำเงินตัวน้อยหลายร้อยตัวถูกซัดขึ้นมาตายเกยตื้นบนชายฝั่งในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา

เพนกวินสีน้ำเงินเป็นสัตว์ที่มีถิ่นกำเนิดในนิวซีแลนด์ แต่ขณะนี้มีความเสี่ยงที่จะลดจำนวนลงอย่างมาก โดยกรมการอนุรักษ์ของนิวซีแลนด์เปิดเผยว่า เพนกวินชนิดนี้เผชิญกับภัยคุกคามหลายอย่าง เนื่องจากมีขนาดตัวที่ค่อนข้างเล็ก ทั้งจากปัญหาสุนัขและพังพอนทำร้าย ถูกรถชน อีกทั้งยังเป็นสัตว์ที่มีความอ่อนไหวกับสภาพชายฝั่งที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย

ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา นิวซีแลนด์พบว่ามีเพนกวินสีน้ำเงินตายเป็นจำนวนมากราว 200-500 ตัว ซึ่งผลการวิเคราะห์จากห้องแล็บเบื้องต้นเผยให้เห็นว่า ปัญหาเหล่านั้นเกิดจากที่เพนกวิน ‘ขาดอาหาร’ และต้องตายลงในท้ายที่สุด เนื่องจากนิวซีแลนด์เผชิญคลื่นความร้อนทางทะเลในน่านน้ำทางตอนเหนือ ประกอบกับปรากฏการณ์ลานีญา ทำให้เพนกวินสีน้ำเงินหาอาหารได้ยากขึ้น

โดยปกติแล้วเพนกวินชนิดนี้จะกินปลากะตักและปลาซาร์ดีนเป็นอาหาร และสามารถดำน้ำได้ลึก 20-30 เมตรเพื่อจับเหยื่อ แต่อุณหภูมิของน้ำที่สูงขึ้นทำให้ปลาเหล่านั้นอพยพไปยังแหล่งน้ำที่เย็นกว่า ซึ่งลึกเกินกว่าที่เพนกวินจะดำไปถึงได้ โดยสถาบันวิจัยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศแห่งนิวซีแลนด์เปิดเผยเมื่อเดือนมกราคมว่า อุณหภูมิของน่านน้ำรอบๆ ประเทศพุ่งสูงขึ้นถึง 3 องศาเซลเซียส

แกรม เทย์เลอร์ นักวิทยาศาสตร์ด้านนกทะเลจากกรมการอนุรักษ์แห่งนิวซีแลนด์ เปิดเผยว่า สภาพของเพนกวินที่ตายบนชายหาดผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก “พวกมันไม่เหลือไขมันในร่างกาย ซึ่งโดยปกติเพนกวินควรจะมีชั้นไขมันเพื่อเป็นฉนวนให้ร่างกายอบอุ่น แต่พวกมันกลับไม่มีไขมัน และเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อก็เหลือน้อยมาก” นอกจากนี้เพนกวินที่ตายยังมีน้ำหนักน้อยกว่าครึ่งของที่ควรจะเป็น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกมันไม่สามารถดำน้ำลึกได้

อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะในช่วงปี 1970-1990 นิวซีแลนด์พบว่ามีเพนกวินตายจากปัญหาดังกล่าวถึง 5,000 ตัว แต่สิ่งที่น่าวิตกคือเหตุการณ์อันน่าเศร้านี้เกิดถี่ขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันปัญหาอุณหภูมิมหาสมุทรที่สูงขึ้นอันเนื่องมาจากภาวะโลกรวน อาจยิ่งทำให้เพนกวินตัวน้อยได้รับผลกระทบรุนแรงขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากมนุษย์เพื่อดูแลสิ่งแวดล้อมของเราให้ดีกว่าเดิมต่อไป

แฟ้มภาพ: Auscape/Universal Images Group via Getty Images

อ้างอิง: