dash.space ร้านกาแฟที่อยากให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย

dash.space ตึกสีขาวสะอาดตาในซอยรามอินทรา 19 เป็นการต่อยอดมาจากแบรนด์เครื่องหนัง dash ที่มีคอนเซปต์ร้านว่า ‘ชีวิตประจำวันของเราวุ่นวายมากพอแล้ว อยากให้ทุกอย่างเรียบง่ายขึ้น’ ดังนั้น dash.space จึงเป็นพื้นที่ที่เปิดให้ผู้คนเข้ามาผ่อนคลายจากบรรยากาศแสนวุ่นวายในเมือง

บรรยากาศ

dash.space ไม่ได้มองตัวเองว่าเป็นร้านกาแฟ แต่เป็นพื้นที่ว่างที่ทำได้หลากหลาย ปรับเปลี่ยนได้ตามกิจกรรมที่เกิดขึ้น จะเป็นร้านกาแฟหรือลานอีเวนต์ก็ได้ พื้นที่สำหรับเวิร์กช็อปก็ดี หรือสตูดิโอก็ยังได้

ตัวร้านเป็นสีขาวแบบเรียบง่ายทั้งหมด ตกแต่งภายในให้มีความอบอุ่น น่านั่ง เงียบสงบ ส่วนข้างนอกร้านจะเป็นมุมถ่ายรูปที่หลากหลาย เพื่อให้ผู้คนมีอิสระและสนุกกับการเลือกมุมของตัวเองโดยไม่ต้องแออัดมากนัก ไม่ว่าคุณจะมานั่งทำงานหรือมาถ่ายรูป ร้านก็ตอบโจทย์ได้หมด

บรรยากาศ

On the Rock (250 บาท)

On the Rock (250 บาท) และ Hour Glass (200 บาท)

เมนูกาแฟของทางร้านแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ และทุกหมวดจะมีอยู่ประมาณ 5-6 เมนูที่ทางร้านคัดมาแล้วว่ามีจุดเด่นแตกต่างกันหมด ส่วนกาแฟนั้นทางร้านก็มีตั้งแต่กาแฟคลาสสิกอย่างพวกลาเต้หรืออเมริกาโน กาแฟแฟนซีที่มีพรีเซนเทชันที่สวยงาม และกาแฟที่เอาศาสตร์ของการทำค็อกเทลมาพลิกแพลง รวมไปถึงกาแฟพิเศษ เมล็ดกาแฟซิงเกิลออริจินของทางร้านจะแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ให้เข้าใจง่ายขึ้นด้วยรสชาติ โดยจะมีหมวด Floral, Fruity, Nutty, Exotic และ Local ส่วนเมล็ดในหมวดหมู่ก็จะหมุนเวียนไปตามฤดูกาล

เมล็ดกาแฟของทางร้านนั้นได้สองโรงคั่วมาดูแลให้ อย่าง Tobo Coffee Roaster จะดูแลในส่วนของเบลนด์ 1 ที่รสชาติค่อนข้างสว่าง ส่วนโรงคั่ว Wonderoom จะดูแลในส่วนของเบลนด์ 2 ที่มีรสชาติเข้มคลาสสิก เป็นนัตตี้ช็อกโกแลต นับว่าครบรสชาติที่คนดื่มกาแฟจะมองหา

แนะนำให้เลือกเมนูซิกเนเจอร์ของร้านอย่าง On the Rock (250 บาท) ที่มีจำกัดเพียงแค่ 30 แก้วต่อวันมาลอง เป็นกาแฟกลั่นกรองพิเศษที่ใช้เวลาเกือบ 1 วันกว่าจะทำออกมาได้แต่ละแก้ว ทำให้ได้กาแฟรสชาติเบา ไม่ขม มีความสดชื่นแบบฟลอรัล ไม่ว่าจะเป็นคนที่ดื่มกาแฟหรือไม่ดื่มก็สามารถสนุกไปกับเมนูนี้ได้

เมนูกาแฟแฟนซีอย่าง Hour Glass (200 บาท) ก็เป็นอีกหนึ่งเมนูที่เข้ากับคอนเซปต์ร้านคือ ในช่วงเวลาที่ชีวิตวุ่นวายไปหมด การได้นั่งอยู่นิ่งๆ แบบไม่ต้องคิดอะไรมากก็เป็นการผ่อนคลายที่ดี กาแฟแก้วนี้จึงหยิบคอนเซปต์ของนาฬิกาทรายมาใช้ โดยด้านบนสุดจะเป็นโฟม เลเยอร์ฟองโฟมจะค่อยๆ ไหลลงมาทับถมเลเยอร์กาแฟ ทำให้คนที่สั่งเมนูนี้ได้อยู่นิ่งๆ พักหายใจ และนั่งดูโฟมค่อยๆ ไหลลงมา

Sour Passion (180 บาท) และ Ispahan Soup (180 บาท)

Ispahan Soup (180 บาท)

มาดูที่เมนูสดชื่นบ้าง Sour Passion (180 บาท) เป็นเมนูซิปปิ้งดริงก์เหมือน On The Rock แต่เป็นเวอร์ชันไม่มีกาแฟ เป็นเครื่องดื่มที่สีสันสดใส ฉูดฉาด จากน้ำสับปะรดและเสาวรส ให้ความสดชื่นเหมาะกับวันที่อากาศร้อน หรือจะเป็น Ispahan Soup (180 บาท) ซุปของหวานที่ทำจากราสป์เบอร์รีและลิ้นจี่ ราดด้วยน้ำกุหลาบที่มีความซ่าเล็กน้อย ดับร้อนได้ดี และความเปรี้ยวหวานก็จะมอบความสดชื่นให้ด้วย

Affogato (180 บาท)

ปิดท้ายด้วย Affogato (180 บาท) เมนูของหวานอิตาลีสุดคลาสสิกที่ประกอบด้วยไอศกรีมราดด้วยช็อตเอสเพรสโซ แต่ทางร้านทำให้พิเศษขึ้นเล็กน้อยด้วยเลเยอร์ล่างสุดที่เป็นราสป์เบอร์รี ในจังหวะที่กินใกล้หมดแล้ว ไอศกรีมจะไปผสมกับราสป์เบอร์รีข้างล่างพอดี ความเปรี้ยวสว่างที่เกิดขึ้นจะเป็นการล้างปากไม่ให้เลี่ยนจนเกินไป

ทีมงานของร้าน

สำหรับใครที่สนใจมาที่นี่ ทางร้านเปิดให้จองเวลาเข้ามาใช้บริการเป็นรอบ ด้วยเหตุผลของคุณภาพและประสบการณ์ที่จะได้รับที่จะดียิ่งขึ้นเมื่อมีการจำกัดจำนวนโต๊ะ โดยจะมีทั้งหมด 3 รอบด้วยกัน คือ รอบแรก เวลา 10.00-12.00 น. รอบที่ 2 เวลา 12.30-15.00 น. และรอบสุดท้าย เวลา 15.00-17.00⁠ น. โดยทางร้านเปิดจองจำนวนจำกัด รอบละ 25 ที่นั่งเท่านั้น สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊ก facebook.com/dashspace.cafe/