ความสำเร็จล่าสุดของ ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ จากการเดิมพันในหุ้น Apple ครั้งใหญ่ของเขา กำลังกระตุ้นให้เกิดการเปรียบเทียบกับการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจนกลายเป็นตำนานตลอดกาล นั่นก็คือ Coca-Cola
Berkshire Hathaway เริ่มซื้อหุ้นของ Apple ในปี 2016 และถือหุ้น 5% ของผู้ผลิต iPhone ภายในกลางปี 2018 ด้วยมูลค่า 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ในขณะที่ราคาหุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีพุ่งสูงขึ้น มูลค่าการเดิมพันของบัฟเฟตต์ก็พุ่งสูงขึ้นเป็นกว่า 1.6 แสนล้านดอลลาร์ ทำให้เขาได้รับผลตอบแทนมากกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ หรือกว่า 3.3 ล้านล้านบาทในเวลาเพียง 6 ปี
การลงทุนที่สร้างผลตอบแทนได้เป็นกอบเป็นกำ ทำให้ผู้ที่เฝ้าติดตามการลงทุนของบัฟเฟตต์หวนนึกถึงการลงทุนในหุ้นที่เป็นตำนานอย่าง Coca-Cola ที่พุ่งสูงขึ้นกว่า 2,000% นับตั้งแต่บัฟเฟตต์เริ่มซื้อในปี 1988 ซึ่งปัจจุบันยังรั้งตำแหน่งหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในพอร์ตของ Berkshire ด้วยจำนวนหุ้น 400 ล้านหุ้น
การลงทุนในบริษัทชั้นนำอย่าง Apple ดูเหมือนจะขัดต่อหลักการลงทุนแบบ ‘เน้นคุณค่า’ ของบัฟเฟตต์ที่เป็นที่รู้จักกันดี แต่การขยับตัวนอกกรอบกลับกลายเป็นการลงทุนที่ดีที่สุดของเขาในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา สัดส่วนการถือหุ้นของ Apple ยังมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ Berkshire ฝ่าฟันการระบาดของไวรัสโควิด เนื่องจากธุรกิจหลักอื่นๆ รวมทั้งการประกันภัยและพลังงานได้รับผลกระทบอย่างมาก
ล่าสุด Berkshire เพิ่งออกมาเปิดเผยรายได้และผลกำไรประจำไตรมาส 4 ปี 2021 พบว่า ผลกำไรคิดเป็นมูลค่าเกือบ 4 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเกือบ 10% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่กำไรขยับเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าตัวสำหรับผลกำไรตลอดทั้งปี
เนื้อความในจดหมายที่เขียนถึงบรรดาผู้ถือหุ้นบริษัทโดยตรง บัฟเฟตต์อธิบายว่า ความสำเร็จของบริษัทในปี 2021 มีสาเหตุหลักมาจากยักษ์ใหญ่ 4 ส่วนของบริษัท ประกอบด้วย 1. ธุรกิจประกันภัยของบริษัท 2. ทางรถไฟ Burlington Northern Santa Fe 3. ธุรกิจพลังงานขนาดใหญ่ และ 4. สัดส่วนการถือหุ้นเกือบ 5.6% ใน Apple
ที่ผ่านมา Berkshire ได้รับเงินปันผลเป็นประจำจากยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉลี่ยประมาณ 775 ล้านดอลลาร์ต่อปี
สิ่งที่น่าสนใจคือ หากมีใครใช้คำแนะนำจากสิ่งที่บัฟเฟตต์พูดเมื่อเขาซื้อหุ้น Coca-Cola เป็นครั้งแรก คงเดาได้ไม่ยากว่าเขานั้นน่าจะลงทุนหุ้น Apple ในระยะยาว
“ในปี 1988 เราได้ทำการซื้อสินเชื่อที่อยู่อาศัยของรัฐบาลกลางและ Coca-Cola เป็นจำนวนมาก เราคาดว่าจะถือหลักทรัพย์เหล่านี้เป็นเวลานาน” บัฟเฟตต์เขียนไว้ในจดหมายประจำปี 1988 ของเขา “อันที่จริง เมื่อเราเป็นเจ้าของธุรกิจที่โดดเด่นบางส่วนพร้อมผู้บริหารที่โดดเด่น ระยะเวลาการถือครองที่หุ้นเหล่านี้จะคงอยู่ตลอดไป เราเป็นกลุ่มที่อยู่ตรงกันข้ามกับผู้ที่รีบขายและทำกำไรเมื่อบริษัทต่างๆ ดำเนินการได้ดี”
รายงานของ Bloomberg ชี้ว่า ล่าสุดบัฟเฟตต์กลับมาอยู่ในกลุ่มคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก 5 อันดับแรก ตามดัชนี Bloomberg Billionaires ท่ามกลางหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ร่วงลงอย่างหนัก ซึ่งกำลังกัดเซาะความมั่งคั่งของผู้บริหารในซิลิคอนแวลลีย์
ความมั่งคั่งของบัฟเฟตต์เพิ่มขึ้น 7.2% ในปีนี้เป็น 1.167 แสนล้านดอลลาร์ เนื่องจากหุ้นใน Berkshire Hathaway Inc. ของเขาพุ่งขึ้น ซึ่งความร่ำรวยของบัฟเฟตต์สวนทางกับ อีลอน มัสก์ ของ Tesla Inc. และ เจฟฟ์ เบโซส์ ของ Amazon.com Inc. ที่เห็นว่าความมั่งคั่งของพวกเขาลดลง 15% หรือมากกว่านั้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ โชว์กำไร Berkshire พุ่งเกือบ 4 หมื่นล้านดอลลาร์
- ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ มั่งคั่งเพิ่มอีก 1.6 แสนล้านดอลลาร์ หลังเก็บ ‘หุ้น Apple’ เพิ่ม ขณะที่ Market Cap ทะลุ 3 ล้านล้านดอลลาร์
- เปิดกลยุทธ์ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เลือกหุ้นพอร์ตโตในช่วงเงินเฟ้อสูง
ภาพ: Spencer Platt / Getty Images
อ้างอิง:
- https://www.cnbc.com/2022/03/03/for-warren-buffett-apple-is-his-new-cola-cola-as-the-investing-icon-reaps-100-billion-in-six-years.html
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-03-07/buffett-s-fortune-is-back-in-world-s-top-5-amid-rare-2022-gains
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP