×

จัดพอร์ตลงทุนเกาะ Global Megatrend ด้วย ‘Thematic Portfolio’ จาก StashAway’ [ADVERTORIAL]

06.05.2022
  • LOADING...
StashAway

เชื่อว่าเมื่อเอ่ยถึง Thematic Investment แล้ว ผู้ลงทุนส่วนใหญ่ต้องเข้าใจในคอนเซปต์อย่างแน่นอน เพราะ Thematic Investment เป็นธีมการลงทุนที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องมากกว่า 10 ปี จนถึงปัจจุบัน

 

อย่างที่ทราบกันดีว่า Thematic Investment คือการลงทุนโดยอาศัยการจับเทรนด์หรือแนวโน้มของกระแสหลักของโลก (Mega Trend) ที่กำลังเปลี่ยนไป และเหมาะกับการลงทุนระยะยาวที่มุ่งหวังผลตอบแทนจากการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ซึ่งดูแล้วก็น่าจะไม่มีข้อเสียอะไร และเหมาะที่ใช้กำหนด Path ของการลงทุน

 

อย่างไรก็ตาม ด้วยการลงทุนแบบ Thematic Investment จะสร้าง Path ของการลงทุนด้วยชุดความคิด/ความเชื่อในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง เพื่อเข้าลงทุนในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญ จึงทำให้พอร์ตลงทุนมีความเสี่ยงจาก 

 

  1. การกระจุกตัวในอุตสาหกรรมหนึ่งๆ 
  2. Theme ที่เชื่อและเข้าลงทุนอาจไม่เกิดขึ้นจริง หรืออาจเผชิญกับความเสี่ยงที่ไม่คาดคิดมาก่อน เช่น ความเสี่ยงเชิงนโยบายจากประเทศนั้นๆ 

 

ซึ่งทั้งสองความเสี่ยงนี้จะทำให้ผู้ลงทุนต้องแบกรับความเสี่ยงที่สูง 

 

ล่าสุด บลจ.สแทชอเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ StashAway ซึ่งเป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์มบริหารการลงทุน (Digital Wealth Management Platform) ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุนในกว่า 160 ประเทศทั่วโลก ปัจจุบันให้บริการใน 5 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์, มาเลเซีย, ฮ่องกง, Dubai International Financial Centre ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และไทย เป็นประเทศที่ 5 โดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. จึงสร้างสรรค์เครื่องมือสนับสนุนการลงทุนรูปแบบใหม่ที่พัฒนามาจาก Thematic Investment ซึ่งก็คือ Thematic Portfolio หรือการลงทุนในเทรนด์ที่จะเปลี่ยนแปลงโลก ‘บนระดับความเสี่ยงที่ควบคุมได้’

 

นัยสำคัญที่ทำให้ Thematic Portfolio เป็นเครื่องมือสนับสนุนการลงทุนที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นมีอยู่ 6 ประการ 

 

1. เน้นลงทุนในเทรนด์แห่งอนาคตที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ: การลงทุนแบบ Thematic Portfolio ยังเกาะอยู่กับคอนเซปต์การลงทุนแบบ Thematic ที่ผู้ลงทุนเชื่อมั่นว่าจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกอย่างรวดเร็วและเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

 

โดย Thematic Portfolio ของ StashAway มี 4 Theme หลักที่ลงทุนผ่าน ETFs ประกอบด้วย 

 

StashAway

 

1. Technology Enablers: เทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานแห่งอนาคตเป็นหนึ่งใน Mega Trand เพราะโลกใบน้ีกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและกำลังเปลี่ยนผ่าน (Transform) จาก Analog ไปสู่ Digital ซึ่งฟันเฟืองสำคัญของการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้คือ เทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ AI (ปัญญาประดิษฐ์) บล็อกเชนและโรโบติกส์ ซึ่งจะนำไปสู่นวัตกรรมใหม่ๆ บนโลกอีกมากมาย โดย Sub-Theme ที่ลงทุนคือ

 

    • AI
    • บล็อกเชน
    • คลาวด์คอมพิวติ้ง
    • โรโบติกส์
    • เซมิคอนดักเตอร์

 

StashAway

 

2. The Future of Consumer Tech: เมื่อวิถีการใช้ชีวิต (Lifestyle) เปลี่ยน รูปแบบการบริโภคจึงเปลี่ยนด้วยอย่างสอดคล้องกัน การขยายตัวอันรวดเร็วของธุรกิจ E-Commerce ต่อเนื่องมาถึง Smart Logistic, Smart Payment ได้สะท้อนภาพวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) และวิถีถัดไป (Next Normal) ได้เป็นอย่างดี โดย Sub-Theme ที่ลงทุนคือ

 

    • E-Commerce  
    • FinTech
    • เกมมิ่ง
    • อินเทอร์เน็ต
    • โซเชียลมีเดีย
    • นวัตกรรมยานยนต์

 

StashAway

 

3. Healthcare Innovation: Theme ที่เชื่อมั่นในนวัตกรรมที่จะพลิกโฉมวงการแพทย์ โดยเทรนด์ใส่ใจและดูแลสุขภาพเกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้วทั่วโลก และถูกเร่งด้วยวิกฤตโควิด ทำให้อุตสาหกรรมการแพทย์เข้าสู่จุดเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว รูปแบบการให้บริการทางการแพทย์พื้นฐานเริ่มเปลี่ยนไป โดยมีเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของแรงผลักดัน และในอนาคตจะมีการเปลี่ยนโฉมไปอย่างมาก โดยมี Sub-Theme ที่ลงทุนคือ 

 

    • ไบโอเทค
    • จีโนมิกส์
    • อุปกรณ์ทางการแพทย์ 
    • เภสัชกรรม

 

StashAway

 

4. Environment and Cleantech: เพราะเรามีโลกเพียงใบเดียว การให้ความสำคัญกับการรักษาและปกป้องสิ่งแวดล้อมจึงเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆ ในหลายประเทศทั่วโลก ในภาคการลงทุนก็เช่นเดียวกัน กองทุนขนาดใหญ่ทั่วโลกหันมาเน้นลงทุนในธุรกิจที่มีระดับ ESG ที่สูง ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้ภาคธุรกิจทั่วโลกปรับวิถีการทำธุรกิจให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ในประเทศไทยเอง เราก็ได้เห็นภาคธุรกิจหันมาใช้พลังงานสะอาด พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น ตลอดจนฝั่งผู้บริโภคเองก็ใส่ใจกับต้นทางการผลิตของสินค้ามากขึ้นว่ามีขั้นตอนการผลิตขั้นตอนไหนทำร้ายสิ่งแวดล้อมหรือใช้พลังงานมากเกินจำเป็นหรือไม่ ในธีม Environment and Cleantech นี้มี Sub-Theme ที่ลงทุนคือ

 

    • พลังงานสะอาด
    • เทคโนโลยีการจัดการน้ำ
    • ระบบกักเก็บพลังงาน / Smart Grid
    • การเงินสีเขียว
    • เทคโนโลยีบำบัดขยะ

 

เห็นได้ชัดว่าทั้ง 4 Theme ดังกล่าวล้วนเกาะอยู่กับ Mega Trend และมีความลงลึกในรายละเอียดมากขึ้น

 

2. กระจายการลงทุนในหลากหลายนวัตกรรมให้พอร์ตเติบโตอย่างยั่งยืน: Thematic Portfolio จะออกแบบการลงทุนแต่ละ Theme ให้ลงทุนใน 4-6 กลุ่มธุรกิจที่สำคัญและในมากกว่า 100 บริษัท เพื่อบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มโอกาสการเติบโตแบบก้าวกระโดด


Thematic Portfolio จะกระจายการลงทุนใน 3 ระดับ คือ

 

1. แต่ละ Theme จะลงทุนในหลากหลายนวัตกรรมที่สำคัญ เพื่อลดความเสี่ยงด้านการกระจุกตัว และเพิ่มโอกาสการเติบโตจากนวัตกรรมที่กำลังขับเคลื่อนเทรนด์

2. ลงทุนด้วย ETF ที่กระจายการลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพสูงจำนวนมาก เพื่อลดความเสี่ยงเฉพาะของแต่ละบริษัท

3. Thematic Portfolio จะกระจายความเสี่ยงด้วยสินทรัพย์ปรับสมดุล เพื่อสร้างพอร์ตแบบ Thematic ที่มีระดับความเสี่ยงที่หลากหลายและในระดับที่เหมาะกับผู้ลงทุนแต่ละรายอย่างแท้จริง

 

3. ลงทุนใน ETF จากบริษัทจัดการกองทุน Thematic ระดับโลก: ทีมงานด้านการลงทุนวิเคราะห์และคัดสรร ETF คุณภาพจากบริษัทจัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญในการลงทุนแบบ Thematic ระดับโลก เช่น ​​ARK Invest, BlackRock, Global X และ Vaneck พร้อมทั้งทำ Stress Test เพื่อให้ได้พอร์ตที่ดีที่สุด

 

4. ควบคุมระดับความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำ: การลงทุนแบบ Thematic มักมีความเสี่ยงสูง StashAway จึงวิเคราะห์และออกแบบพอร์ตการลงทุนเพื่อให้ได้สัดส่วนที่ลงตัวระหว่าง ‘สินทรัพย์ตามธีม’ และ ‘สินทรัพย์ปรับสมดุล’ ในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถลงทุนใน Theme ที่เชื่อมั่นบนระดับความเสี่ยงที่กำหนดได้มากถึง 7 ระดับ ตั้งแต่ 20-45% และกำหนดความเสี่ยงด้วย StashAway Risk Index หรือ SRI โดยระบบจะคอยบริหารพอร์ตให้มีระดับความเสี่ยงตรงตามค่า SRI ที่ผู้ลงทุนเลือกไว้

 

ทั้งนี้ SRI หรือ StashAway Risk Index คือระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้เป็นตัวเลข เพื่อกำหนดสัดส่วนการลงทุนของพอร์ต โดยอิงตามค่า 99%-VaR (VaR ที่ 99% Confidence Level) มีนัยสำคัญว่า พอร์ตจะมีโอกาสเพียง 1% ที่จะขาดทุน มากกว่าค่า SRI ที่เลือกไว้ใน 1 ปี ซึ่งทำให้มั่นใจได้ถึง 99% ว่ามูลค่าของพอร์ตจะไม่ลดลงต่ำกว่าค่า SRI ที่เลือกไว้

 

5. บริหารพอร์ตอัตโนมัติด้วยเทคโนโลยีระดับโลก: เทคโนโลยีการลงทุน ERAA™ ออกแบบสัดส่วนของพอร์ตที่ลงตัวและจะปรับพอร์ตอย่างเหมาะสมตามการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจ ส่วนเทคโนโลยี Rebalancing จะตรวจสอบความสมดุลของพอร์ตทุกวัน โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม

 

6. ค่าธรรมเนียมต่ำโปร่งใสทุกขั้นตอน: ค่าธรรมเนียมการจัดการแบบ All-Inclusive เพียง 0.2-0.8% ต่อปี ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้ผู้ลงทุน

 

เห็นได้ชัดว่า Thematic Portfolio สามารถช่วยให้ผู้ลงทุนไม่หลุด Mega Trend โลก ช่วยสร้างวินัยการลงทุนในระยะยาว อีกทั้งยังส่งมอบเครื่องมือในการควบคุมความเสี่ยงที่สำคัญนั่นคือ ฟังก์ชันสินทรัพย์ปรับสมดุล ที่จะมาช่วยควบคุมและจำกัดความเสี่ยงให้กับผู้ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ  

 

แม้ทุกการลงทุนจะมีความเสี่ยงขนาบมาด้วยเสมอ แต่สำหรับผู้ลงทุนที่ตระหนักถึงความเสี่ยงได้ดีกว่า และรู้จักมองหาเครื่องมือส่งเสริมการลงทุนและช่วยจำกัดความเสี่ยงได้ดีกว่า ก็จะมีโอกาสเข้าถึงอิสรภาพทางการลงทุนที่เร็วและปลอดภัยกว่าเสมอ 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X