วานนี้ (4 มีนาคม) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค และ ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) แถลงข่าวฉีดวัคซีนโควิดผู้สูงอายุก่อนสงกรานต์ ลูกหลานกลับบ้านสบายใจ และการปรับระบบ 1330 ลดผู้ติดเชื้อโควิดตกค้าง
นพ.โสภณกล่าวว่า สถานการณ์โควิดของประเทศไทยยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและอาจเป็นไปตามฉากทัศน์ที่คาดการณ์ว่าจะมีผู้ติดเชื้อสูงสุดถึง 5 หมื่นรายในช่วงหลังสงกรานต์ แต่ทุกคนสามารถช่วยกันยกระดับมาตรการป้องกันเพื่อลดการติดเชื้อลงได้ โดยคาดว่าช่วงพฤษภาคม-มิถุนายน จะเป็นขาลงของการระบาด ส่วนผู้ป่วยปอดอักเสบและใส่ท่อช่วยหายใจ เมื่อมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมาก จะทำให้มีผู้ป่วยอาการรุนแรงที่ต้องรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นตามมาได้ โดยช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมามีผู้ป่วยปอดอักเสบเพิ่มขึ้น 1.5 เท่า และใส่ท่อช่วยหายใจเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า ขณะที่ผู้เสียชีวิตก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยวันนี้พบเสียชีวิต 54 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและไม่ได้รับวัคซีน
นพ.โสภณกล่าวว่า ผู้สูงอายุมีการติดเชื้อน้อยกว่ากลุ่มวัยอื่น แต่มีอัตราการเสียชีวิตสูงกว่าหลายเท่า โดยเฉพาะผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป อัตราติดเชื้อเสียชีวิตเกือบ 3% อายุ 60-69 ปี อัตราติดเชื้อเสียชีวิต 0.6% และอายุ 50-59 ปี อัตราติดเชื้อเสียชีวิต 0.2% และจากข้อมูลพบว่า การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในผู้สูงอายุช่วยลดการเสียชีวิตลงได้ถึง 41 เท่า เมื่อเทียบกับผู้สูงอายุที่ไม่ได้รับวัคซีน
ดังนั้นในช่วง 1 เดือนเศษก่อนสงกรานต์ที่ลูกหลานจะกลับไปเยี่ยมที่ต่างจังหวัด ขอให้ผู้สูงอายุ 2.17 ล้านคนที่ยังไม่ได้รับวัคซีน มารับวัคซีนเข็มแรก หากฉีดเข็มแรกแล้วให้ฉีดเข็ม 2 ตามนัด และหากรับครบ 2 เข็ม เกิน 3 เดือน ให้รีบมารับเข็มกระตุ้น เพื่อให้สงกรานต์ปีนี้ลูกหลานกลับไปเยี่ยมบ้านได้อย่างสบายใจ โดยลูกหลานต้องฉีดวัคซีนและต้องป้องกันตนเองด้วยเช่นกัน เนื่องจากสงกรานต์ปีที่แล้วหลายครอบครัวต้องสูญเสียผู้สูงอายุที่ติดเชื้อจากลูกหลานที่กลับไปเยี่ยม
“สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำปาง ได้สำรวจประชาชน 86,798 คน พบว่า 37.8% ไม่ต้องการรับวัคซีนเข็ม 3 แม้ถึงเวลาที่กำหนดแล้ว เนื่องจากกังวลเรื่องผลข้างเคียง และกลัวเสียชีวิต 21% และคิดว่าฉีด 2 เข็มเพียงพอแล้ว 14% ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด ขอให้ช่วยกันทำความเข้าใจ เพื่อให้ผู้สูงอายุกลุ่มนี้เข้ามาฉีดวัคซีนมากขึ้น และสนับสนุนให้ทุกหมู่บ้านมีทะเบียนรายชื่อผู้สูงอายุที่ยังไม่ได้รับวัคซีนโควิดเพื่อเป็นข้อมูลให้ทุกหน่วยงานร่วมกันนำผู้สูงอายุมารับวัคซีนให้ครบถ้วนมากที่สุด รวมถึงการฉีดวัคซีนในเด็ก ซึ่งจะช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อในผู้สูงอายุได้ด้วย” นพ.โสภณกล่าว
ด้าน ทพ.อรรถพรกล่าวว่า ผู้ที่มีผลตรวจ ATK เป็นบวก สามารถติดต่อลงทะเบียนเข้าสู่ระบบการรักษาผ่านสายด่วนต่างๆ ได้ โดยพื้นที่ กทม. ติดต่อสายด่วนประจำเขต 50 เขต หรือสายด่วน 1669 กด 2 ส่วนต่างจังหวัดมีสายด่วนประจำจังหวัด นอกจากนี้ยังมีเบอร์กลางคือ สายด่วน สปสช. 1330 กด 14
อย่างไรก็ตาม สัปดาห์ที่ผ่านมาผู้ติดเชื้อโควิดในประเทศไทยเพิ่มขึ้นมาก ทำให้สายด่วน 1330 มีผู้โทรเข้ามาสูงถึง 70,300 สาย แต่ละสายเราใช้เวลาในการสอบถามประมาณ 7 นาที ทำให้ส่วนหนึ่งพบปัญหาสายไม่ว่างหรือไม่ได้รับสาย แม้จะขยายคู่สายจนเต็ม 3,000 คู่สาย และเพิ่มจำนวนผู้รับสายแล้วก็ตาม ดังนั้นจึงเพิ่มช่องทางลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ สปสช. หรือไลน์ @nhso รวมถึงรับสมัครจิตอาสาทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนมาช่วย ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขได้เพิ่มทางเลือกการเข้ารับการรักษาสำหรับผู้ติดเชื้อไม่มีอาการและไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงในลักษณะผู้ป่วยนอก ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา สามารถไปติดต่อหน่วยบริการตามสิทธิได้ทุกสิทธิ
“การเพิ่มผู้รับสายและเพิ่มบริการแบบผู้ป่วยนอก ทำให้จำนวนสายที่โทรเข้าสายด่วน 1330 ลดลงจาก 7 หมื่นสาย เหลือ 5.5 หมื่นสาย และอัตราไม่ได้รับสาย จากเดิมมีประมาณครึ่งหนึ่ง ลดลงเหลือไม่ถึง 1 ใน 4 คาดว่าสถานการณ์จะดีขึ้นเรื่อยๆ จำนวนสายที่ไม่ได้รับหรือรอสายจะลดลงมากขึ้น” ทพ.อรรถพรกล่าว