×

‘รู้สึกได้ความเป็นธรรมครึ่งหนึ่งแล้ว’ พล.ต.ต. ปวีณ เปิดใจในรอบ 6 ปี หลังต้องลี้ภัยจากการทำคดีโรฮิงญา ชี้ยังมีปลาตัวใหญ่อีกเยอะ

โดย THE STANDARD TEAM
19.02.2022
  • LOADING...
‘รู้สึกได้ความเป็นธรรมครึ่งหนึ่งแล้ว’ พล.ต.ต. ปวีณ เปิดใจในรอบ 6 ปี หลังต้องลี้ภัยจากการทำคดีโรฮิงญา ชี้ยังมีปลาตัวใหญ่อีกเยอะ

วันนี้ (19 กุมภาพันธ์) ที่อาคารอนาคตใหม่ ที่ทำการพรรคก้าวไกล พล.ต.ต. ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 (รอง ผบช.ภ.8) และอดีตหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮิงญา ปัจจุบันเป็นผู้ลี้ภัยอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย ให้สัมภาษณ์ผ่านระบบออนไลน์ ที่มี รังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และ พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า เป็นผู้ร่วมสนทนาว่า วันนี้เป็นวันแรกที่ได้พบพี่น้องสื่อมวลชน หลังจากห่างหายไปเป็นเวลากว่า 6 ปี 3 เดือน 3 วันที่จากบ้านเกิดมา วันนี้เป็นวันที่ผมมีความสุขที่สุดวันหนึ่ง มันเป็นเรื่องเฉพาะตัวที่ติดคาในใจ ที่สร้างความระทมขมขื่นในใจ ปฏิบัติหน้าที่แล้วถูกกลั่นแกล้งไม่ได้รับความเป็นธรรมจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รัฐบาล และผู้มีอำนาจ จนเรื่องทั้งหลายถูกเปิดเผยออกมาผ่านการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร

 

“มีคนกล่าวหาว่าผมสร้างเรื่องวางแผนใช้ชีวิตในต่างประเทศ แต่อันที่จริงผมต้องใช้ชีวิตเป็นผู้ลี้ภัยเหมือนคนทั่วไป วันนี้รู้สึกได้รับความเป็นธรรมมาครึ่งหนึ่งแล้ว อีกครึ่งหนึ่งผมเสียดายหากวันนั้นประเทศไทยมีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง มีนายกรัฐมนตรีที่อยากให้ประเทศเราซื่อสัตย์ กระบวนการยุติธรรมเที่ยงตรง ชีวิตราชการ และความรู้ความสามารถของผมคงจะสาวไปถึงปลาตัวใหญ่อีกหลายตัวอีกแน่นอน ส่วนจะใหญ่แค่ไหนท่านทั้งหลายไปคิดกันเอาเองหลังจากฟังการอภิปรายเมื่อวาน” พล.ต.ต. ปวีณ กล่าว

 

พล.ต.ต. ปวีณกล่าวถึงผู้มีอำนาจว่า จากการที่ผมมาอยู่ต่างประเทศแล้วติดตามข่าวสารมา ผมรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดที่จะต้องฝากกับบุคคลแบบนี้ที่มีอำนาจ แต่ผมอยากฝากถึงพี่น้องข้าราชการตำรวจ ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมประสบกับระบบที่เลวร้าย ฝากว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องตรงไปตรงมา 

 

“ไม่ว่าตำรวจหรือพี่น้องสื่อมวลชน สิ่งสำคัญมากคือ ศีลธรรม จริยธรรม ความถูกต้อง เรายึดถืออย่างเข้มข้น ไม่มีการกลั่นแกล้ง จะเป็นเกราะกำบังคุ้มกัน ความกล้าหาญเป็นสิ่งหนึ่งที่เขาไม่สามารถขัดขวางได้ ความกล้าที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องมันก็ไม่ง่ายในประเทศไทย แต่ถ้าทำพร้อมเพรียงกันเขาก็ทำอะไรไม่ได้” พล.ต.ต. ปวีณกล่าว

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงหากได้ทำคดีต่อ จะเปิดโปงขบวนการค้ามนุษย์ไปได้มากกว่านี้อย่างไร พล.ต.ต. ปวีณตอบว่า สิ่งที่เราทำไป คดีค้ามนุษย์โรฮิงญาไม่ใช่เพิ่งเกิดในปี 2558 มันเบ่งบานรุ่งเรืองมานานมากแต่ไม่มีใครสนใจ แต่ประเทศเราถูกกดดันจากสิทธิการค้าต่างๆ จนรัฐบาลร้อนก้น แต่พอทำจริงก็ถูกขัดแข้งขัดขาต่างๆ มันไม่พ้นความรับผิดชอบของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเลย

 

“ผมขอยืนยันว่า การขนโรฮิงญาเข้ามาไม่ใช่คนเดียว หน่วยงานต่างๆ เหล่านั้นไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเอง ปล่อยปละละเลย แน่นอนว่ามีเงื่อนไขแลกเปลี่ยน นั่นคือผลประโยชน์ นั่นคือส่วย จนเป็นอุตสาหกรรมขนคนไปขาย ถ้าสอบสวนไปปลาตัวใหญ่ต้องมาอีกเยอะแน่นอน”

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงเหตุผลที่ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ พล.ต.ต. ปวีณตอบว่า เมื่อ 6 ปีที่แล้วไม่ใช่ว่าผมไม่อยากเปิดเผย ผมเคยเปรยกับพี่น้องสื่อมวลชนหลายสำนัก แต่ไม่มีใครกล้าแฉ ผมเป็นคนจริง พูดไปแล้วรักษาคำพูด ผมรอเวลามานานใครก็แล้วแต่รับข้อมูลของผมไป แม้นิดเดียวก็ยังดีแล้วว่าสักวันหนึ่งคงมีใครนำไปขยาย ไม่ให้สิ่งที่ผมรับรู้อยู่มันตายไปพร้อมกับผม นี่คือความจริง นี่คือระบบที่มันทำลายประเทศชาติของเราจริง ที่ผมต้องหนีเพราะพอพูดเปิดเผยไปใครก็ไม่กล้า และใบสมัครแผ่นนั้นก็เป็นคำตอบทั้งหมด คงไม่ต้องขยายความไปมากกว่านี้

 

“…ผมก็มีความฝันอยากจะเป็นตำรวจที่ดี แน่นอนว่าอยากกลับประเทศไทย นั่นเป็นบ้านเกิดของผม ผมยังมีบุคคลอันเป็นที่รักยังอยู่ที่นั่น เป็นความหวังของผม” พล.ต.ต. ปวีณกล่าวทั้งน้ำตา

 

ด้านพรรณิการ์กล่าวว่า เรื่องนี้กระทบเกียรติภูมิต่อประเทศไทย และในช่วง 2-3 ปีนี้มีความรุนแรงในสังคมไทยมาอย่างต่อเนื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับตำรวจย่ำแย่ลง เรื่องราวของ พล.ต.ต. ปวีณยืนยันว่าตำรวจดีมีอยู่ แต่ไม่มีที่ยืนภายใต้ระบอบปรสิตที่กัดกินประเทศ มีตำรวจอย่างคุณปวีณอีกมากมายในประเทศไทย

 

“ในวันนี้สังคมไทยเดินหน้ามาถึงวันที่เราตระหนักถึงความสำคัญของสิทธิมนุษยชน ตระหนักถึงการแทรกแซงการทำงานของพี่น้องตำรวจเพื่อรักษาผลประโยชน์ของคนไม่กี่คน ขอบคุณสื่อมวลชนที่คุ้มครองพื้นที่การพูดความจริงได้ จนถึงสักวันที่ พล.ต.ต. ปวีณจะได้กลับมา” พรรณิการ์กล่าว

 

รังสิมันต์กล่าวถึงการที่นายกรัฐมนตรีเดินออกจากที่ประชุมโดยไม่ตอบคำถามอภิปรายเมื่อวานนี้ว่า ราวกับต้องการส่งสัญญาณว่าการค้ามนุษย์แบบนี้เป็นเรื่องปกติของสังคมไทย ส่วนตัวผมรับไม่ได้ นี่คือความใจดำอำมหิตอย่างที่สุดทั้งที่คุณมีอำนาจ อำนาจพิเศษไม่ได้ช่วยให้รอดพ้นจากการค้ามนุษย์ แต่ทำลายตำรวจดีๆ อย่างคุณปวีณ

 

รังสิมันต์กล่าวว่า เรายืนยันว่าเรื่องนี้จะต้องไม่เป็นเรื่องเงียบอีกต่อไป เราต้องเดินหน้าทวงถามความยุติธรรมที่ถูกพรากไปจากพี่ปวีณ และเราต้องเดินหน้าติดตามขบวนการค้ามนุษย์ที่อยู่บนความเจ็บปวดของประชาชนชาวโรฮิงญาหรือชาติใดก็แล้วแต่ ไม่ให้มีที่ยืนอยู่ได้อีกต่อไป

 

“นี่คงเป็นภารกิจของก้าวไกลที่ต้องทวงถาม และใช้ทุกกลไกที่เรามีอย่างถึงลูกถึงคน เพื่อเดินหน้าติดตามขบวนการค้ามนุษย์ นำหลักฐาน 270,000 กระดาษไปขยายผลต่อไป ไม่ให้ขบวนการนี้เกิดขึ้น ไม่ได้กัดกินแค่เหยื่อค้ามนุษย์เท่านั้น แต่ยังกัดกินระบบราชการ ทำให้คนดีจำนวนมากไม่มีที่ยืน กรณีของคุณปวีณคือการบอกว่าสังคมไทยอยู่ในจุดที่วิกฤตที่สุด เป็นจุดที่ต้องตัดสินใจว่าเราจะเดินหน้าสังคมอย่างไร ในฐานะพรรคก้าวไกลเราบอกว่าเราไม่เชื่อมั่นรัฐบาลอีกแล้ว แต่เมื่อการเลือกตั้งยังมาไม่ถึง เราก็ต้องใช้ความเปลี่ยนแปลงทุกระดับ เมื่อมีโอกาสแล้วอย่าทำให้เรื่องนี้เงียบ ใช้โอกาสนี้ให้สังคมไทยนี้เติบโตขึ้น” รังสิมันต์กล่าว

 

ชมเสวนา โรม-ช่อ คุยกับ พล.ต.ต. ปวีณ พงศ์สิรินทร์ หัวหน้าคดีค้ามนุษย์ที่ต้องลี้ภัย

 

สรุปการอภิปรายของโรม 

 

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X