Fed ส่งสัญญาณพร้อมขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ หวั่นลุกลามสู่เศรษฐกิจในวงกว้าง พร้อมหารือถึงแนวทางลดขนาดงบดุล ขณะที่ตลาดเริ่มกลับมาจับตาประเด็นรัสเซีย-ยูเครนอีกครั้ง
สถานีโทรทัศน์ CNBC เปิดเผยรายงานสรุปการประชุมของคณะกรรมการกำกับนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในรอบล่าสุด ซึ่งพบว่า เจ้าหน้าที่ Fed ทั้งหลายได้วางแผนปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและลดการอัดฉีดเงินเข้าระบบด้วยการลดปริมาณการซื้อคืนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ โดยเห็นว่ามาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) จะไม่เป็นผลดีต่อเสถียรภาพทางการเงินของรัฐบาลในระยะยาว
ทั้งนี้ ที่ประชุม Fed ยืนยันว่า Fed กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยเมื่อพิจารณาจากระดับการถือครองที่ค่อนข้างสูงในปัจจุบัน การลดขนาดงบดุลอย่างค่อยเป็นค่อยไปจึงมีความสำคัญและเหมาะสมมากกว่า
นอกจากนี้ที่ประชุม Fed ยังได้กล่าวถึงปัจจัยเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นประเด็นที่ทาง Fed ให้น้ำหนักในการหารือครั้งล่าสุดมากที่สุด โดยแถลงการณ์ระบุชัดว่า เงินเฟ้อยังคงเป็นปัจจัยที่น่าวิตกกังวลอย่างยิ่ง แต่จะยังไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมรอบล่าสุดแต่อย่างใด
โดยสิ่งที่ต้องจับตามองก็คือ การลุกลามของเงินเฟ้อไปสู่เศรษฐกิจในวงกว้างออกไป ซึ่งจะส่งผลให้ Fed จำเป็นต้องออกมาตรการเชิงรุกที่แข็งกร้าวเข้าไปจัดการ โดยหมายรวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่จากเดิมจะขยับปรับขึ้นทีละนิดอย่างค่อยเป็นค่อยไปที่ 0.25% ก็อาจจะขยับเพิ่มขึ้นครั้งละ 0.50%
ขณะเดียวกันนอกจากการพูดคุยในเรื่องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว ทางคณะกรรมการ FOMC ยังมีการหารือเพื่อกำหนดขั้นตอนในการแก้ปัญหาการขาดดุลงบประมาณมูลค่าเกือบ 9 ล้านล้านดอลลาร์ต่อไป โดยส่วนใหญ่คือพันธบัตรรัฐบาลที่ Fed จัดการเพื่อพยายามลดอัตราดอกเบี้ยและกระตุ้นการเติบโต
อย่างไรก็ดี แลร์รี ซัมเมอร์ส นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำในสหรัฐฯ ได้ออกโรงเรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ และ Fed ดำเนินการมากกว่าที่ทำอยู่ในปัจจุบันเพื่อจัดการเงินเฟ้อ เนื่องจากมาตรการของ Fed และรัฐบาลในขณะนี้สะท้อนให้เห็นว่าสหรัฐฯ ไม่มีกำลังเพียงพอที่จะจัดการเงินเฟ้อได้อย่างเด็ดขาด พร้อมเตือนว่า เงินเฟ้อสหรัฐฯ มีสิทธิ์พุ่งขึ้นแตะระดับ 7.5%
แม้ว่าการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับการประชุมหารือในแต่ละครั้ง แต่ความตั้งใจที่จะเริ่มขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดตลาดวานนี้ (16 กุมภาพันธ์) สลับกันไปทั้งในแดนบวกและลบเล็กน้อย โดยดัชนีอุตสาหกรรม Dow Jones ลดลง 54.57 จุด หรือ 0.16% ปิดที่ 34,934.27 จุด ส่วนดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 3.64 จุด หรือ 0.09% ปิดที่ 4,475.01 จุด และดัชนี Nasdaq ลดลง 15.66 จุด หรือ 0.11% ปิดที่ 14,124.09 จุด
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์มองว่า นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเพราะความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในยูเครน รวมทั้งข้อมูลต่างๆ นานาที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ กำลังร้อนแรงเกินไป
นอกจากนี้ตลาดหุ้นยังปรับตัวลดลง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเทขายของหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี
ขณะเดียวกันท่าทีของ Fed บวกกับสถานการณ์เงินเฟ้อยังส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นแรงวานนี้ (16 กุมภาพันธ์) โดยราคาน้ำมันขยับขึ้นมากกว่า 1% ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติขยับขึ้นมากกว่า 8%
โดยราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส งวดส่งมอบเดือนมีนาคม เพิ่มขึ้น 1.59 ดอลลาร์ ปิดที่ 93.66 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนต์ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 1.53 ดอลลาร์ ปิดที่ 94.81 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ขณะเดียวกันด้วยสถานการณ์ตึงเครียดในยูเครนที่เริ่มกลับมาระอุอีกครั้ง ทำให้นักลงทุนมองหาสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำอย่างทองคำ ซึ่งราคาทองคำในวันพุธ (16 กุมภาพันธ์) แตะระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน โดยราคาทองคำโคเม็กซ์ งวดส่งมอบเดือนเมษายน เพิ่มขึ้น 15.30 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,871.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์
อ้างอิง:
- https://www.cnbc.com/2022/02/16/federal-reserve-releases-minutes-from-its-january-meeting.html
- https://www.cnbc.com/2022/02/15/stock-market-futures-open-to-close-news.html
- https://edition.cnn.com/2022/02/16/investing/larry-summers-fed-inflation/index.html
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP