ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ที่ระดับ 32.23 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้นจากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 32.37 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์ประเมินแนวโน้มการแข็งค่าเริ่มจำกัด หลังสถานการณ์รัสเซียและยูเครนเริ่มกลับมาคลุมเครืออีกครั้ง กดดันตลาดเงินปิดรับความเสี่ยง
พูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ตลาดการเงินยังคงผันผวนรุนแรงและไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยง จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่อาจบานปลายสู่สงครามได้ อย่างไรก็ดี ตลาดเริ่มกลับมารีบาวด์ได้หลังจากที่รายงานการประชุม Fed ล่าสุดไม่ได้ส่งสัญญาณว่า Fed จะเร่งขึ้นดอกเบี้ยได้ตามที่ตลาดกังวลไว้
ผู้เล่นในตลาดสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว ส่งผลให้ดัชนีหุ้นเทค Nasdaq ปรับตัวลง -0.11% ส่วนดัชนี S&P 500 รีบาวด์ขึ้นมาและปิดตลาดที่ +0.09%
ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ปรับตัวลดลงราว -0.16% เนื่องจากผู้เล่นในตลาดยังคงรอจับตาปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่อาจนำไปสู่สงครามได้ทุกเมื่อ
โดยแรงเทขายหนักกระจุกตัวในหุ้นกลุ่ม Cyclical ที่สามารถปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงก่อนหน้า อาทิ กลุ่มการเงิน Santande -1.3%, BNP Paribas -1.2%
ทั้งนี้ ยังคงต้องติดตามการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน / NATO โดยมองว่าหากทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุข้อตกลงและนำไปสู่การถอนกำลังทหารจากทุกฝ่ายออกจากพื้นที่ ก็จะเป็นสัญญาณที่ดีและอาจช่วยหนุนให้ตลาดกลับมาเปิดรับความเสี่ยงได้มากขึ้น
ส่วนทางด้านฝั่งตลาดบอนด์ก็เผชิญความผันผวนเช่นกัน โดยบอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 2.02% ท่ามกลางปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่อาจบานปลายสู่สงครามได้
นอกจากนี้ท่าทีของ Fed จากรายงานประชุม Fed ล่าสุดที่ไม่ได้ส่งสัญญาณพร้อมเร่งขึ้นดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดไว้ ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่กดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปีสหรัฐฯ แกว่งตัว Sideways
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์โดยรวมพลิกกลับมาอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หลังจากที่ตลาดคลายกังวลแนวโน้ม Fed เร่งขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าคาด ขณะเดียวกันผู้เล่นบางส่วนก็ยังคงหวังว่าปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนอาจคลี่คลายลงได้ จนทยอยลดการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยลง ทำให้ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวลงใกล้ระดับ 95.8 จุด
นอกจากนี้การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์จากแนวโน้ม Fed อาจไม่ได้เร่งขึ้นดอกเบี้ย และความเสี่ยงปัญหาความขัดแย้งรัสเซียกับยูเครนที่ยังร้อนแรงอยู่ยังได้หนุนให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นแตะระดับ 1,873 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ การปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วของราคาทองคำจะส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดทยอยเข้ามาขายทำกำไรทองคำมากขึ้น ซึ่งโฟลวธุรกรรมดังกล่าวมีส่วนที่จะช่วยให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ แม้ตลาดโดยรวมจะยังปิดรับความเสี่ยงก็ตาม
สำหรับวันนี้ ตลาดจะเฝ้าระวังและติดตามปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนและชาติพันธมิตร NATO อย่างใกล้ชิด เนื่องจากยังมีความเสี่ยงที่ความขัดแย้งอาจบานปลายสู่สงครามและกดดันให้ตลาดการเงินปิดรับความเสี่ยงได้
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทคาดว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทอาจเริ่มจำกัดลง และเงินบาทจะเริ่มแกว่งตัวในกรอบ Sideways เพราะแม้ว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นมากกว่าที่เราคาดจนหลุดแนวรับที่ได้ประเมินไว้ จาก Fund Flow นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาซื้อทั้งหุ้นไทยและบอนด์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงโฟลวธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ ทว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนก็ยังคงกดดันให้ตลาดปิดรับความเสี่ยงและหนุนให้เงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้น ซึ่งเรามองว่าการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดนั้นจะช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาทในระยะสั้นได้
อย่างไรก็ดี ควรจับตาแนวโน้ม Fund Flow นักลงทุนต่างชาติว่ายังคงเข้ามาซื้อสินทรัพย์ไทยสุทธิต่อเนื่องหรือไม่ รวมถึงทิศทางของราคาทองคำ ซึ่งหากราคาทองคำยังปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง เราเชื่อว่าผู้เล่นในตลาดก็ยังคงทยอยขายทำกำไรต่อ และโฟลวธุรกรรมดังกล่าวก็จะช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.20-32.40 บาทต่อดอลลาร์
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP