ต้นเดือนธันวาคม ผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียแห่กันส่งต่อภาพเมนู ‘กาแฟ Starbucks Reserve™ และชิบูย่า ฮันนี่ โทสต์’ เครื่องดื่มและขนมหวานจากแบรนด์กาแฟชื่อดัง ‘สตาร์บัคส์’ (Starbucks) และร้านขนมหวานขวัญใจคนไทย ‘อาฟเตอร์ยู’ (After You) กันเป็นจำนวนมาก จนสร้างปรากฏการณ์ยึดครองพื้นที่สื่อออนไลน์ในชั่วข้ามคืน
ในเวลาต่อมา เหล่าคนรักของหวานและกลิ่นหอมๆ ของกาแฟก็ได้พบกับความจริงที่ว่า เมนู collaboration ระหว่างสองแบรนด์ดังนี้มีให้ลิ้มลองเฉพาะร้านสตาร์บัคส์สาขาเมกาบางนาที่แรกและที่เดียวเท่านั้น
เพื่อย้อนรอยเบื้องหลังความอร่อย THE STANDARD ติดต่อไปยัง ดาว-สุมนพินทุ์ โชติกะพุกกณะ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร บริษัท สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ (ประเทศไทย) จำกัด และ เมย์-กุลพัชร์ กนกวัฒนาวรรณ ผู้ก่อตั้งและเจ้าของแบรนด์อาฟเตอร์ยู เพื่อไถ่ถามที่มาที่ไปของความร่วมมือสุดพิเศษที่เกิดขึ้น
จุดเริ่มต้นการโคจรมาพบกันระหว่างสตาร์บัคส์และอาฟเตอร์ยู
กุลพัชร์เผยความในใจกับทีมงาน THE STANDARD ว่า สำหรับเธอ สตาร์บัคส์เปรียบเสมือนไอดอลด้านการทำธุรกิจขนมหวาน อาหาร และเครื่องดื่มเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ฉะนั้นเมื่อมีโอกาสได้ร่วมงานกันทั้งที อาฟเตอร์ยูจึงไม่พลาดที่จะคว้าโอกาสนี้ไว้
“ตั้งแต่ที่เราทำโรงงาน มีโอกาสได้ทำ OEM (Original Equipment Manufacturer: รับผลิตสินค้าให้แบรนด์อื่น) ทำโปรดักชันให้หลายๆ แบรนด์ ก็คิดว่าน่าจะลองเข้าไปคุยกับสตาร์บัคส์ดูเพื่อเสนอไอเดีย เพราะเขาก็เป็นไอดอลของอาฟเตอร์ยูอยู่แล้ว ปรากฏว่าทีมพี่ดาว สุมนพินทุ์ ก็ให้โอกาสเราได้ลองทำ เพราะสตาร์บัคส์ก็กำลังมองหาอะไรแบบนี้อยู่แล้ว และขนมของเราก็เป็นของกินที่รับประทานคู่กับกาแฟได้”
หากนับตั้งแต่ห้วงเวลาที่กุลพัชร์เกิดไอเดียบรรเจิดภายใต้ความร่วมกันระหว่างสองแบรนด์ยอดนิยมกระทั่งกลายเป็นเมนูวางจำหน่ายจริงๆ ในร้านสตาร์บัคส์ รีเสิร์ฟ สาขาเมกาบางนา ก็น่าจะกินเวลาล่วง 4 เดือนพอดี
ที่ใช้เวลานานขนาดนั้นเป็นเพราะว่าสตาร์บัคส์ให้ความสำคัญกับความร่วมมือของพาร์ตเนอร์ด้านอาหารมากๆ ถึงขนาดต้องส่งทีมงานมาตรวจสอบโรงงานของอาฟเตอร์ยูครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อตรวจสอบมาตรฐานและคัดเลือกเมนูอาหารยอดนิยมมาลงที่ร้าน
“ตอนนั้นเราทำขนมหลายๆ แบบไปให้เขาเลือก ถือเป็นการพัฒนาร่วมกัน แต่พอเป็นอาฟเตอร์ยู เราก็คิดว่า ‘ชิบูย่า ฮันนี่ โทสต์’ น่าจะดีที่สุด จริงๆ ทางสตาร์บัคส์เขาอยากลองเมนูหลักๆ ก่อน ซึ่งเราก็คิดว่าเขาเลือกได้ถูกต้อง เพราะชิบูย่า ฮันนี่ โทสต์ มันขายได้อยู่แล้ว แต่เขาเลือกเป็นไซส์ที่เล็กลงเพื่อให้ลูกค้ากินคู่กับกาแฟได้ง่ายขึ้น ส่วนอีกเมนูที่เขาเลือกคือ ‘ช็อกโกแลตบราวนี’ อีกหนึ่งสินค้าที่ขายที่ดีที่สุดของอาฟเตอร์ยู”
สำหรับเมนูที่คุณสามารถเข้าไปลิ้มลองที่สตาร์บัคส์ รีเสิร์ฟ สาขาเมกาบางนา และสยามสแควร์ วัน (เปิดให้บริการวันศุกร์ที่ 22 ธันวาคมนี้วันแรก) มีให้เลือกตั้งแต่ ชิบูย่า ฮันนี่ โทสต์, ช็อกโกแลตบราวนี, อัฟโฟกาโต และบานอฟฟี่ครัมเบิลแพน โดยทุกๆ เมนูนอกจากจะเสิร์ฟพร้อมกับกาแฟสตาร์บัคส์รสเยี่ยมแล้วก็ยังมีไอศกรีมมาให้รับประทานคู่กันอีกด้วย
สุมนพินทุ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของสตาร์บัคส์ ประเทศไทย ให้สัมภาษณ์กับเราว่า “สตาร์บัคส์เป็นผู้นำด้านวัฒนธรรมการดื่มกาแฟในประเทศไทย สิ่งที่เราทำมาตลอดเกือบ 20 ปีมานี้คือการส่งมอบประสบการณ์การดื่มกาแฟที่ยอดเยี่ยมอย่างต่อเนื่อง เรามีร้านและสาขาหลายรูปแบบ แต่หนึ่งในสาขาที่เราเน้นประสบการณ์การดื่มกาแฟที่ยอดเยี่ยมคือ ‘สตาร์บัคส์ รีเสิร์ฟ’ ที่จะมีกาแฟคุณภาพเยี่ยมหายากมาให้จิบอยู่เรื่อยๆ
“แต่สำหรับการยกระดับประสบการณ์การดื่มกาแฟ นอกจากตัวกาแฟก็คืออาหารและขนม ซึ่งสำหรับร้านรีเสิร์ฟสาขาเมกาบางนาที่เราเพิ่งเปิดเพิ่ม เราคิดว่าจะต้องทำอย่างไรก็ได้เพื่อสร้างประสบการณ์พิเศษให้กับลูกค้าขึ้นไปอีกขั้น และเราก็รู้สึกว่าอาฟเตอร์ยูคือผู้นำด้านขนมหวาน พูดถึงขนมหวาน ใครๆ ก็นึกถึงพวกเขา ก็เลยมีโอกาสได้คุยกับคุณเมย์ว่าพวกเราพอจะทำอะไรด้วยกันได้บ้าง จนสุดท้ายสตาร์บัคส์ก็มีโอกาสได้ชิบูย่า ฮันนี่ โทสต์ มาเสิร์ฟให้ลูกค้ารับประทานคู่กับกาแฟสตาร์บัคส์ในร้าน”
ทำไมถึงต้องสตาร์บัคส์? แล้วทำไมต้องอาฟเตอร์ยู?
“ตอนนี้มีแบรนด์ไหนที่ดังกว่าอาฟเตอร์ยูไหมล่ะ?” สุมนพินท์ุบอกเราถึงเหตุผลที่เลือกเมนูขนมจากร้านนี้
“จริงๆ สตาร์บัคส์ก็มีมองอยู่หลายเจ้า แต่อย่างเค้กที่ร้านของเรา Coffee Beans เขาก็เป็นผู้เชี่ยวชาญอยู่แล้ว ส่วนแซนด์วิชก็ได้จาก Cafe Buongiorno ซึ่งเป็น Italian Lifestyle Cuisine แล้วก็ไม่ใช่ว่าทุกร้านที่ทำอาหารจะสามารถสนับสนุนเราได้ครบ 300 สาขา ก็ต้องมานั่งคุยกันว่าสินค้าและแบรนด์ของพวกเราเข้ากันได้ไหม ซึ่งอาฟเตอร์ยูเขาตอบโจทย์เราในจุดนี้ได้ ที่สำคัญ ใครๆ ก็ชอบขนมหวานของเขา”
ด้านหญิงเก่งผู้เชี่ยวชาญด้านขนมหวานจากอาฟเตอร์ยูเล่าว่า เธอเติบโตมากับแบรนด์กาแฟรูปนางเงือกไซเรนสองหาง และยึดแนวทางของสตาร์บัคส์เป็นเหมือนต้นแบบในการทำธุรกิจ
“ความฝันของเราคืออยากทำระบบจัดการภายในร้านอาฟเตอร์ยูให้แข็งแรงเหมือนสตาร์บัคส์ ก่อนที่เราจะทำธุรกิจ เรามองแบรนด์เขาว่าเท่มากๆ ยิ่งพอลงมาทำธุรกิจนี้จริงๆ จังๆ เราก็ยิ่งคารวะสตาร์บัคส์เป็นเหมือนปรมาจารย์ของเราเลย ซึ่งถ้ามีโอกาสได้ร่วมงานกันก็น่าจะเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจมากๆ
“นอกจากนี้อาฟเตอร์ยูยังได้เรียนรู้จากสตาร์บัคส์อีกด้วย เช่น โรงงานของเราที่ผ่านการตรวจมาตรฐานมาได้ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าเราสามารถทำงานในระดับอินเตอร์ได้เรื่อยๆ การทำงานร่วมกับสตาร์บัคส์ในครั้งนี้จึงให้บทเรียนอะไรๆ กับเราหลายอย่างเลย”
เราจะได้รับประทานชิบูย่า ฮันนี่ โทสต์ คู่กาแฟถ้วยโปรดต่อไปอีกนานแค่ไหน
เมื่อถามถึงแผนการระยะยาวของโปรเจกต์ความร่วมมือกันในครั้งนี้ระหว่างทั้งสองแบรนด์ สุมนพินทุ์และกุลพัชร์ตอบคล้ายๆ กันว่าคงต้องรอดูผลตอบรับที่เกิดขึ้นก่อน แต่โดยรวมทั้งสตาร์บัคส์และอาฟเตอร์ยูก็คาดหวังไว้อยู่แล้วว่าอยากจะจับมือรังสรรค์ความอร่อยต่อไปอีกเรื่อยๆ
“ต้องรอดูการตอบรับของลูกค้า เพราะเราก็อยากทำในระยะยาวเหมือนกัน ซึ่งตอนนี้เราก็ได้เริ่มที่เมกาบางนาเป็นสาขาแรกก่อน ตามมาด้วยสาขาสยามสแควร์ วัน” สุมนพินทุ์กล่าว
ส่วนกุลพัชร์บอกว่าเธอตื่นเต้นกับกระแสในโซเชียลมีเดียมากๆ เพราะแค่เปิดขายวันแรก ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยก็ถ่ายรูปเมนูโพสต์ลงโซเชียลกันยกใหญ่ และทำให้ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นพอสมควร แต่หลังจากนี้ก็ต้องรอดูผลตอบรับในระยะยาวด้วยเช่นกัน
“จริงๆ แล้วความต้องการของเราคืออยากให้โปรเจกต์นี้อยู่ไปตลอดอยู่แล้ว และต่อไปก็อยากจะเพิ่มโปรดักต์ให้มากขึ้นด้วย เราอยากจะนำเสนอเมนูใหม่ๆ ให้กับสตาร์บัคส์ ซึ่งก็ต้องรอฟีดแบ็กอย่างเดียวเลย
“เราได้รับโอกาสดีๆ จากสถาบันใหญ่ๆ หลายแห่ง ซึ่งถ้าถามเรา เราก็อยากทำทุกอย่าง ร่วมงานกับทุกที่ ไม่ว่าจะขายในร้าน ขายให้แบรนด์ หรือขายในสายการบินไหนก็ตาม เพราะสเกลร้านเรามีแค่ 20 สาขาเอง เมื่อเทียบแล้วในเมืองไทยถือว่าน้อยมาก แม้คนรู้จักเราเยอะ แต่เราไม่ได้มีหน้าร้านพอจะนำเสนอสินค้าให้ลูกค้าได้เยอะขนาดนั้น ดังนั้นถ้าสินค้าของเราพอจะเข้าไปในช่องทางไหนได้ เราก็อยากจะไป”
ความร่วมมือระหว่างแบรนด์อาหารกับสตาร์บัคส์ประเทศไทยที่แน่นแฟ้น
ว่ากันตามตรงแล้ว อาฟเตอร์ยูไม่ใช่แบรนด์ร้านอาหารหรือขนมหวานเจ้าแรกที่สตาร์บัคส์เข้ามาจับมือด้วย เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาก็มีพาร์ตเนอร์ด้านอาหารที่ผูกสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนาน รวมถึงพาร์ตเนอร์ด้านสินค้าและของที่ระลึกที่วางจำหน่ายภายในร้าน เช่น ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ และศูนย์ศิลปาชีพบางไทร
สุมนพินทุ์บอกว่า ทุกวันนี้สตาร์บัคส์จับมือกับพาร์ตเนอร์และฟู้ดซัพพลายเออร์หลักๆ อยู่ 4-5 เจ้า โดยทำงานร่วมกันมาตั้งแต่วันแรกที่สตาร์บัคส์เปิดสาขาในเมืองไทย
“เราจะเลือกสรรฟู้ดซัพพลายเออร์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารที่หลากหลาย โดยสองเจ้าแรกที่เราต้องขอบคุณเขามาตลอด เพราะอยู่กับเราตั้งแต่วันแรกที่ทำร้านในไทยคือ ‘อนันตรา’ ที่เข้ามาช่วยดูแลขนมอบภายในร้าน และ Cafe Buongiorno ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านขนมปังและอาหารอิตาเลียน Coffee Beans ให้ความช่วยเหลือเราด้านเค้ก และในบางโอกาสก็ต้องขอบคุณ S&P ด้วย ส่วนล่าสุดก็เป็นอาฟเตอร์ยูที่เข้ามาเติมเต็มเรา
“ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป ไม่ใช่ว่าทุกคนเปิดคาเฟ่แล้วจะทำได้เองทั้งหมด เราก็ต้องขอบคุณพาร์ตเนอร์ทุกส่วนที่ส่งมอบและเติมเต็มประสบการณ์ด้านอาหารให้กับสตาร์บัคส์ และในอนาคตเราก็เปิดโอกาสร่วมงานกับแบรนด์อื่นๆ อยู่เรื่อยๆ อยู่แล้ว”
หลายคนคงสงสัยว่าสตาร์บัคส์ต่างประเทศมีวิธีทำงานร่วมกับฟู้ดซัพพลายเออร์เหมือนหรือแตกต่างจากสตาร์บัคส์ไทยอย่างไร? และคำตอบที่เราได้รับคือ ‘คล้ายกัน’
“มันอาจจะตีความหมายไม่เหมือนกัน เพราะสตาร์บัคส์ไทยจะมองว่าเขาทำอาหารและขนมให้เรา ซึ่งสตาร์บัคส์ทั่วโลกก็ไม่มีใครทำขนมปังหรือแซนด์วิชเองเหมือนกัน เขาก็ต้องมีกระบวนการสรรหาผู้ทำขนมให้เหมือนกันหมด”
ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าโปรเจกต์การร่วมสร้างสรรค์สูตรลับความอร่อยในครั้งนี้ระหว่างสตาร์บัคส์และอาฟเตอร์ยูถือเป็นการจับคู่กันที่ลงตัวและดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคได้มากมาย หลากหลายกลุ่มเป้าหมาย
ที่สำคัญยังเป็นการเปิดประตูโอกาสให้อาฟเตอร์ยูเป็นที่รู้จักมากขึ้นในวงกว้าง และรวมถึงระดับโลกอีกด้วย