วันนี้ (26 พฤศจิกายน) นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยสนับสนุนการใช้กัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งพืชกัญชาที่พบมีหลากหลายพันธุ์ โดยแต่ละพันธุ์มีสัดส่วนสารสำคัญแตกต่างกัน สารสำคัญในกัญชา ได้แก่ สาร THC และ CBD จัดอยู่ในกลุ่มสารแคนนาบินอยด์ นอกจากนี้ยังพบว่ากัญชามีสารออกฤทธิ์อื่นอีก เช่น กลุ่มฟลาโวนอยด์, เทอร์พีนอยด์, อัลคาลอยด์, สเตียรอยด์, อัลเคน, กรดไขมัน และน้ำตาล ซึ่งมีสัดส่วนของปริมาณสารแตกต่างกันในแต่ละพันธุ์
ทั้งนี้สาร THC และสารอนุพันธ์ของ THC มีคุณสมบัติทางยาที่หลากหลาย เช่น ฤทธิ์แก้ปวด โดยเฉพาะปวดจากโรคทางระบบประสาท กระตุ้นความอยากอาหาร และลดอาการคลื่นไส้จากการใช้เคมีบำบัด ช่วยปกป้องและกระตุ้นการสร้างเซลล์สมอง ส่วนสาร CBD มีฤทธิ์บรรเทาอาการลมชัก ลดอาการวิตกกังวล ช่วยให้นอนหลับได้ดี
นพ.ศุภกิจกล่าวต่ออีกว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยสถาบันวิจัยสมุนไพร ได้ดำเนินการวิจัยและพัฒนากัญชามาอย่างต่อเนื่องเพื่อขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรม โดยขึ้นทะเบียนกัญชาพันธุ์ไทย 4 พันธุ์ ได้แก่ พันธุ์หางเสือสกลนครทีที 1 พันธุ์ตะนาวศรีก้านขาวดับเบิลยูเอ 1 (มีปริมาณ THC สูง) พันธุ์หางกระรอกภูพานเอสที 1 (THC และ CBD ใกล้เคียงกัน) และพันธุ์ตะนาวศรีก้านแดงอาร์ดี 1 (มีปริมาณ CBD สูง) โดยได้นำสารสกัดช่อดอกกัญชาพันธุ์ไทยมาทำการทดสอบฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งเพาะเลี้ยง 7 ชนิด ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งไต มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ มะเร็งสมอง และมะเร็งตับอ่อน ด้วยวิธีของไหลวิกฤตยิ่งยวด (Supercritical Fluid Extraction) ซึ่งเป็นวิธีที่สามารถสกัดสารแคนนาบินอยด์ในกัญชาได้ดี ผลการทดลองพบว่าสารสกัดกัญชาที่มี THC 1 ส่วนต่อ CBD 6 ส่วน มีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านม (MCF-7) เซลล์มะเร็งไต (A-498) และเซลล์มะเร็งตับ (HepG2) ได้ดี
สารสกัดกัญชาที่มี THC 10 ส่วนต่อ CBD 1 ส่วน มีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งปอด (A-549) เซลล์มะเร็งลำไส้ (Caco-2) เซลล์มะเร็งสมอง (A-172) และมะเร็งตับอ่อน (PANC-1) ได้ดี เมื่อเทียบกับยาด็อกโซรูบิซิน (Doxorubicin)
ส่วนสารสกัดที่มีสัดส่วน THC 2 ส่วนต่อ CBD 1 ส่วน มีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งแบบไม่มีความจำเพาะ และพบว่าสารสกัดดังกล่าวยังมีฤทธิ์ที่ดีในการสมานรอยแผลในเซลล์ปอดเพาะเลี้ยงในหลอดทดลอง
นอกจากนี้ยังได้วิจัยด้านพิษวิทยาในหลอดทดลองพบว่า สารสกัดกัญชาไม่ก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ (Mutagenicity) ในเชื้อแบคทีเรีย แต่พบว่าสารสกัดกัญชามีความเป็นพิษต่อเซลล์ไตเพาะเลี้ยงสูงที่สุด รองลงมาเป็นเซลล์ตับเพาะเลี้ยง และเซลล์ปอดเพาะเลี้ยง ตามลำดับ
นพ.ศุภกิจกล่าวในตอนท้ายว่า ข้อมูลการวิจัยดังกล่าวมีการตีพิมพ์ในวารสารกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แล้ว แสดงให้เห็นว่ากัญชาพันธุ์ไทยสามารถนำมาพัฒนาเป็นยาหรือผลิตภัณฑ์สุขภาพ แต่ต้องคำนึงถึงขนาดที่อาจก่อให้เกิดความเป็นพิษหรือผลกระทบต่อร่างกาย ดังนั้นกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์มีแผนที่จะดำเนินการทดสอบความปลอดภัยของสารสกัดกัญชาในสัตว์ทดลองหรือระดับคลินิกต่อไป สร้างความมั่นใจว่ามีประสิทธิผลและปลอดภัย เพื่อสนับสนุนการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์