เกิดการประท้วงและก่อเหตุวุ่นวายขึ้นในหลายประเทศยุโรปเพื่อต่อต้านมาตรการล็อกดาวน์และการบังคับฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโควิด ท่ามกลางสถานการณ์ระบาดที่ทวีความรุนแรง
โดยที่เนเธอร์แลนด์มีรายงานผู้ประท้วงก่อเหตุจลาจลและเผาทำลายข้าวของในหลายเมืองต่อเนื่องเป็นคืนที่ 2 ซึ่งที่กรุงเฮกผู้ประท้วงก่อเหตุยิงดอกไม้ไฟใส่รถตำรวจและจุดไฟเผารถจักรยานกลางถนน ขณะที่ตำรวจพยายามสลายการชุมนุมและเข้าควบคุมสถานการณ์ โดยสามารถจับกุมผู้ประท้วงได้อย่างน้อย 7 คน
ขณะเดียวกันที่เมืองรอตเทอร์ดาม สถานการณ์ประท้วงที่ปะทุต่อเนื่องตั้งแต่เย็นวันศุกร์ (19 พฤศจิกายน) บานปลายเป็นความรุนแรง หลังกลุ่มผู้ประท้วงหลายร้อยคนก่อจลาจล พากันทำลายข้าวของและจุดไฟเผารถยนต์ รวมถึงขว้างก้อนหินใส่ตำรวจ ทำให้ตำรวจต้องยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อเตือนและใช้เครื่องฉีดน้ำสลายฝูงชน และสามารถจับกุมผู้ประท้วงได้มากกว่า 50 คน
อย่างไรก็ตาม มีตำรวจบางนายใช้ปืนยิงใส่กลุ่มผู้ประท้วง ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บสาหัสอย่างน้อย 3 คน โดยโฆษกสำนักงานตำรวจเนเธอร์แลนด์ชี้ความจำเป็นที่ต้องยิง เนื่องจากสถานการณ์ ณ ขณะนั้นเป็นอันตรายถึงชีวิต และกำลังมีการสืบสวนข้อเท็จจริงของเหตุที่เกิดขึ้น ซึ่งล่าสุดผู้บาดเจ็บทั้งหมดยังอยู่ระหว่างการรักษาในโรงพยาบาล
ขณะที่การประท้วงต่อต้านล็อกดาวน์ในเนเธอร์แลนด์ทวีความรุนแรงขึ้น หลังจากที่ทางการเริ่มบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์บางส่วนนาน 3 สัปดาห์ เริ่มตั้งแต่วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ท่ามกลางการระบาดของโควิดที่รุนแรง โดยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เฉลี่ยวันละกว่า 20,000 คน ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา
ส่วนที่ออสเตรียมีประชาชนหลายหมื่นคนออกมาชุมนุมประท้วงที่กรุงเวียนนา หลังทางการประกาศล็อกดาวน์ทั่วประเทศเป็นเวลา 20 วัน โดยปิดร้านค้าที่ไม่จำเป็นและให้ประชาชนทำงานจากที่บ้าน เพื่อยับยั้งการระบาดของโควิด หลังจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นทะลุ 15,000 คนต่อวัน และเตรียมบังคับให้ประชาชนฉีดวัคซีนโควิดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า ซึ่งถือเป็นชาติแรกในยุโรปที่ใช้กฎหมายบังคับฉีดวัคซีน
โดยกลุ่มผู้ประท้วงจำนวนมากพากันแสดงความไม่พอใจต่อมาตรการของรัฐบาล พร้อมทั้งชูธงชาติและป้ายข้อความที่เขียนว่าเสรีภาพ และตะโกนต่อต้านและไล่ตำรวจที่พยายามควบคุมการชุมนุม แต่สถานการณ์ไม่บานปลายเป็นความรุนแรง
ที่เกาะกัวเดอลุปของฝรั่งเศสก็มีประชาชนจำนวนหนึ่งออกมาชุมนุมประท้วงและก่อจลาจลเพื่อต่อต้านมาตรการควบคุมและป้องกันโควิดของรัฐบาล ทั้งการบังคับฉีดวัคซีนและให้ใช้บัตรผ่านวัคซีนในร้านค้าต่างๆ โดยการชุมนุมทวีความรุนแรงหลังผู้ประท้วงเริ่มทำลายข้าวของและจุดไฟเผาอาคารและสถานประกอบธุรกิจ รวมถึงมีการขโมยของในร้านค้า ส่งผลให้ทางการต้องส่งกำลังตำรวจหลายสิบนายเข้าควบคุมความไม่สงบ และสามารถจับผู้ก่อจลาจลได้ 31 คน
นอกจากนี้ที่โครเอเชียมีประชาชนหลายพันคนออกมาเดินขบวนในกรุงซาเกร็บ เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อมาตรการบังคับฉีดวัคซีนสำหรับแรงงานในภาครัฐ ขณะเดียวกันที่อิตาลีมีประชาชนหลายพันคนออกมาชุมนุมประท้วงต่อต้านการบังคับใช้ Green Pass หรือใบรับรองการฉีดวัคซีน ในการเข้าทำงานและใช้บริการในสถานที่ต่างๆ รวมถึงรถโดยสารสาธารณะ
ทั้งนี้ สถานการณ์การระบาดของโควิดในยุโรประลอกล่าสุดที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้องค์การอนามัยโลก หรือ WHO แสดงความกังวลอย่างยิ่ง โดย ดร.ฮานส์ คลูจ เตือนว่า หากไม่มีการดำเนินมาตรการป้องกันและควบคุมการระบาดอย่างจริงจังในทันที อาจส่งผลให้ประชาชนในทวีปยุโรปเสียชีวิตจากโควิดเพิ่มขึ้นอีกมากกว่า 500,000 คนในเดือนมีนาคมปีหน้า
ภาพ: Photo by Pierre Crom / Getty Images
อ้างอิง: