Bitcoin ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์มากกว่า 68,000 ดอลลาร์ หรือ 2.2 ล้านบาท ไปเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา จากการที่มีทั้งนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันหลั่งไหลเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนั้น Ethereum ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ก็ทำสถิติสูงสุดตลอดกาลมากกว่า 4,857 ดอลลาร์ หรือ 159,115 บาทไปแล้วเช่นกัน
การเติบโตของเหรียญดิจิทัลต่างๆ ทำให้ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีโดยรวมเติบโตขึ้น จนตอนนี้มีมูลค่ามากกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 98 ล้านล้านบาทไปแล้ว
ทั้งนี้ นักลงทุนอาจรู้สึกอยากซื้ออยากลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี แต่กลัวว่าจะพลาด และผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินต่างๆ ก็ออกมาเตือนว่า คริปโตเคอร์เรนซีเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงและผันผวน คุณควรลงทุนในเงินที่คุณสามารถเสียไปได้ทั้งหมด แล้วไม่ทำให้สถานะทางการเงินของคุณสั่นคลอน
“หากจะพิจารณาว่าคุณสามารถรับความเสี่ยงในการลงทุนได้มากน้อยเพียงใด สิ่งสำคัญคือคุณต้องประเมินสถานะทางการเงินของคุณเองก่อน และตรวจสอบให้แน่ใจว่า คุณได้แบ่งเงินก้อนที่จำเป็นต้องใช้ในการดำเนินชีวิตออกมาก่อนทั้งหมดแล้ว” อัญชลี จาริวาลา นักวางแผนทางการเงิน และผู้ก่อตั้งบริษัทวางแผนการเงิน Fit Advisors กล่าวกับสำนักข่าว CNBC Make It
“ถ้าให้ดีคุณควรลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นอย่างสกุลเงินดิจิทัล ก็ต่อเมื่อไม่มีสินทรัพย์อื่นที่น่าสนใจและเสี่ยงน้อยกว่าให้ลงทุนแล้ว และคุณยังมีกระแสเงินสดเหลืออยู่” เธอกล่าว
ซึ่งแต่ละคนมีสัดส่วนการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีที่เหมาะสมแตกต่างกัน โดยจาริวาลาแนะนำให้จัดงบแบ่งสัดส่วนเงินประมาณ 4 รายการหลักๆ ที่จะกล่าวต่อไปนี้ให้เรียบร้อยเสียก่อน
‘หนี้ที่มีดอกเบี้ยสูง’
สิ่งสำคัญอันดับแรกของคุณคือ การสำรองเงินมาจ่ายหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูง เช่น บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล จาริวาลากล่าว หากปล่อยค้างชำระไว้ หนี้จะมีการทบต้น และอาจกลายเป็นเรื่องยากทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ ในการชำระหนี้
ปัจจุบันในสหรัฐฯ อัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตเฉลี่ยอยู่ที่มากกว่า 16% และแม้ว่าชาวอเมริกันจำนวนมากจะลดวงเงินบัตรเครดิตของตนลงในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ แต่ยอดวงเงินเฉลี่ยก็ยังคงอยู่ที่ 5,525 ดอลลาร์ หรือราว 180,000 บาท (ข้อมูลจาก Experian)
‘การเกษียณ’
ขณะที่คุณกำลังชำระหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูง ให้พิจารณาแผนการสะสมเงินระยะยาวอย่าง 401(k) กับนายจ้างของคุณ 401(k) คือแผนการเงินที่อนุมัติโดยกรมสรรพากรสหรัฐฯ หรือ IRS เพื่อช่วยลูกจ้างสะสมเงินสำหรับเกษียณ และยังมีสิทธิประโยชน์ต่างๆ อย่างการลดหย่อนภาษีอีกด้วย) อย่างในประเทศไทยเองก็มีกองทุนที่คล้ายๆ กันคือ RMF หรือกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ เพื่อสะสมเงินไว้สำหรับเกษียณ และยังสามารถลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน
‘กองทุนฉุกเฉิน’
หลังจากที่คุณจัดการกับหนี้และกำลังออมเงินเพื่อการเกษียณแล้ว คุณควรมีกองทุนฉุกเฉินของคุณไว้ด้วยหากคุณยังไม่มี โดยกองทุนฉุกเฉินนี้ควรเก็บเป็นจำนวนเงินที่ทำให้คุณใช้ชีวิตอยู่ได้ไปอีก 3-6 เดือน (แล้วแต่บุคคล) หากเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจหรือคุณตกงาน คุณก็สามารถวางแผนและใช้ชีวิตอยู่ไปได้อีก 3-6 เดือน ซึ่งกองทุนฉุกเฉินสามารถคำนวณได้จากค่าจ่ายต่างๆ อย่าง ค่าเช่า ค่าอาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าประกัน และอื่นๆ ที่จำเป็น และคูณด้วยจำนวนเดือนเข้าไป
‘เบ็ดเตล็ด’
เมื่อคุณแบ่งเงินไว้จัดการส่วนที่สำคัญข้างต้นเหล่านี้ทั้งหมดแล้ว ให้ตรวจสอบการเงินของคุณ และพิจารณาอีกทีว่ามีส่วนไหนที่ต้องการเงินทุนอีกหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็น กองทุนการศึกษาสำหรับเด็ก เงินดาวน์สำหรับบ้านใหม่ การปรับปรุงบ้าน และอื่นๆ
“สิ่งสำคัญคือคุณต้องวางแผน ไม่ใช่แค่ในปีที่จะมาถึง แต่ต้องวางแผนระยะยาวในอีก 3-5 ปีข้างหน้าด้วย” เธอกล่าว
หลังจากจัดสรรรายได้ของคุณไว้ใน 4 ส่วนหลักๆ ข้างต้นแล้ว รวมถึงค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ณ ปัจจุบันแล้ว คุณสามารถนำกระแสเงินสดที่เหลืออยู่ไปลงทุนในสินทรัพย์ความเสี่ยงสูงอย่างคริปโตเคอร์เรนซีได้อย่างปลอดภัยและสบายใจ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- Ethereum เหรียญคริปโตฯ ที่มีมูลค่าเป็นอันดับ 2 ของโลก ทำสถิติราคา 1.6 แสนบาทเป็นครั้งแรก หลายฝ่ายคาดอาจทำราคาขึ้นไปถึง 1.7 ล้านบาทภายในปี 2030
- มูลค่าตลาดคริปโตฯ พุ่งแตะ 3 ล้านล้านดอลลาร์ สร้างสถิติใหม่ หลังราคา Bitcoin และ Ether ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
- Bitcoin พุ่งทะลุ 2.2 ล้านบาท ไต่สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ท่ามกลางมูลค่ารวมของคริปโตฯ ที่พุ่งทะลุ 98.5 ล้านล้านบาท
อ้างอิง: