รัฐบาลสิงคโปร์เดินหน้ามาตรการเปิดเศรษฐกิจและเปิดประเทศ ด้วยการผ่อนคลายระเบียบการเดินทาง เตรียมต้อนรับนักเดินทางที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วเพิ่มอีก 8 ประเทศ ให้สามารถเดินทางเข้าสิงคโปร์ได้โดยไม่จำเป็นต้องกักตัว เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป ซึ่ง 8 ประเทศล่าสุดประกอบไปด้วย แคนาดา, เดนมาร์ก, ฝรั่งเศส, อิตาลี, เนเธอร์แลนด์, สเปน, สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร
สำหรับเป้าหมายของมาตรการดังกล่าวมีขึ้นเพื่อหวังฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจที่ซบเซาลงเพราะโควิด โดยก่อนหน้านี้เพียงหนึ่งวัน สิงคโปร์ได้ประกาศความร่วมมือกับเกาหลีใต้ในการเปิดรับนักท่องเที่ยวระหว่างกัน และมีขึ้นหลังจากที่ประสบความสำเร็จในการทดลองเปิดรับนักท่องเที่ยวจาก 2 ประเทศแรกคือ บรูไนและเยอรมนี เมื่อเดือนที่ผ่านมา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมสิงคโปร์กล่าวว่า ความร่วมมือในการเปิดรับนักเดินทางระหว่างกัน หรือ Vaccinated Travel Lanes เป็นการทำข้อตกลงระหว่างประเทศคู่เจรจา ทำให้ผู้เดินทางไม่จำเป็นต้องกักตัวเมื่อเดินทางไปมาระหว่างกัน
ปัจจุบันสิงคโปร์มีจำนวนผู้ฉีดวัคซีนครบ 2 โดส คิดเป็นอัตราส่วน 83% ของประชากรทั้งหมด 5.45 ล้านคน ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่อจำนวนประชากรสูงที่สุดในโลก
ด้านนายกรัฐมนตรี ลีเซียนลุง ของสิงคโปร์ กล่าวว่า สิงคโปร์จะเดินหน้าสู่ New Normal และอยู่ร่วมกับโควิดต่อไปให้ได้ และอาจต้องใช้เวลาราว 3-6 เดือนในการเข้าสู่สถานการณ์ที่มีความคงที่ และแม้ในอนาคตจำนวนผู้ติดเชื้ออาจจะสูงขึ้นอีกครั้ง แต่สิงคโปร์ก็พร้อมออกมาตรการ ‘แตะเบรก’ เพื่อควบคุมสถานการณ์ไม่ให้โรงพยาบาลและระบบสาธารณสุขต้องรับภาระหนักจนเกินไป
ด้านประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงอย่างมาเลเซีย ก็ได้ผ่อนคลายกฎระเบียบคุมเข้มทางการเดินทาง ด้วยการอนุญาตให้ผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วสามารถเดินทางได้ตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคมเป็นต้นไป โดยนายกรัฐมนตรี อิสมาอิล ซาบรี ยาค็อบ แห่งมาเลเซีย แถลงผ่านการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า ชาวมาเลเซียที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิดจนครบโดสแล้วจะได้รับอนุญาตให้เดินทางได้ทั้งในและต่างประเทศ โดยในกรณีของการเดินทางไปต่างประเทศ จะต้องได้รับการอนุมัติจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง และหลังจากกลับเข้ามาในประเทศแล้วต้องเข้ารับการกักตัว
ผู้นำมาเลเซียกล่าวว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังตัวเลขประชากรวัยผู้ใหญ่ของมาเลเซียได้ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วกว่า 90% และรัฐบาลเห็นว่าขณะนี้มาเลเซียจำเป็นต้องหาหนทางใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโควิดให้ได้ พร้อมเตือนประชาชนชาวมาเลเซียว่าอย่าชะล่าใจ และใช้มาตรการป้องกัน เช่น การทดสอบตัวเองก่อนตัดสินใจเดินทางอย่างเคร่งครัดทุกครั้ง
ขณะเดียวกันมาเลเซียได้อนุมัติการใช้งานวัคซีนโควิดที่ผลิตโดย Pfizer-BioNTech เพื่อใช้เป็นเข็มบูสเตอร์อย่างมีเงื่อนไขคือ ใช้กับผู้ใหญ่อายุ 18 ปีขึ้นไปเท่านั้น หลังจากได้รับโดสที่ 2 ไปแล้วอย่างน้อย 6 เดือน
นอกจากนี้กระทรวงฯ อนุญาตให้ฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์ข้ามยี่ห้อได้อีกด้วย นอกจากวัคซีน Pfizer-BioNTech แล้ว มาเลเซียยังใช้วัคซีนที่ผลิตโดยบริษัท AstraZeneca ของสหราชอาณาจักร และวัคซีนที่ผลิตโดยบริษัท Sinovac กับบริษัท CanSino Biologics จากจีน ในโครงการฉีดวัคซีนระดับชาติ
อ้างอิง: